ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 767 รอต่ออีกนิด
ตอนที่ 767 รอต่ออีกนิด
เป็นครั้งแรกที่องค์ไท่จู่รู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างน่าเวทนา
กว่าจะหลุดออกมาจากผนึกได้ และในขณะที่กำลังจะแตกตัว กลับถูกฉู่หลิวเยว่ปาดหน้าเสียอย่างนั้น
ไหนจะเรื่องที่นางฉวยพลังของมันมา แถมยังฉกฉวยมาหลายครั้งหลายคราอีกต่างหาก!
ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามวลพลังปราณนี้ถือกำเนิดมาได้อย่างใด แต่มันก็ถูกฉู่หลิวเยว่กวาดต้อนมาเป็นของตนได้ทั้งหมด!
เมื่อเป็ดย่างสุกน่าทานโดนชิงไป ใครบ้างที่จะไม่โมโห?
ทว่าสิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ดูเหมือนว่ามันจะแค้นฉู่หลิวเยว่นิดๆ ด้วย
ถ้าไม่มีม่านน้ำชั้นนั้นขวางกั้น องค์ไท่จู่เชื่อว่าฉู่หลิวเยว่คงเพลี้ยงพล้ำให้แก่เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นแน่นอน
แต่ในโลกนี้มีอันใดแน่นอนที่ไหนกันเล่า?
พูดตามตรง มันนั่นแหละ ที่เป็นคนบังคับลากฉู่หลิวเยว่ลงมาเอง
แกว่งเท้าหาเสี้ยนเองแท้ๆ!
องค์ไท่จู่สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อและยิ้มเยาะ
ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ความหวังของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นริบหรี่ยิ่งนัก
ใครจะอยู่ใครจะไป ให้ตัดสินตอนนี้คงไม่ได้จริงๆ!
ลมปราณให้ร่างกายของฉู่หลิวเยว่เพิ่มพูนความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกระดับ
นางควบคุมพลังปราณเหล่านี้อย่างพิถีพิถัน และอดทนแล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังปราณดั้งเดิมของนาง
หลังจากที่พลังบริสุทธิ์เหล่านี้ถูกชะล้างครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเลือดเนื้อและมวลกระดูกทั่วทั้งร่าง ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ครั้นผ่านไปหนึ่งเค่อ ลมปราณของฉู่หลิวเยว่ก็พุ่งสูงขึ้น!
กึก!
มีเสียงดังแผ่วมาจากภายในร่างกาย!
และในที่สุด ความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่ก็ได้มาถึงระดับห้าขั้นกลางแล้ว!
องค์ไท่จู่ที่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวนั่น ก็พลันหันไปมองนาฬิกาทรายด้านข้างอย่างลืมตัว และแววตาของเขาฉายแววตกใจ
การทะลวงของฉู่หลิวเยว่นั้นเร็วกว่าปกติเสียอีก!
ถึงแม้เขาจะเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่านางจะทะลวงผ่านได้รวดเร็วและราบรื่นเช่นนี้ ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง
นางคือผู้ที่มีชีพจรตี้จิง แม้ว่ามันจะเทียบกับชีพจรเทียนจิงไม่ได้ แต่ความเร็วในการฝึกตนของนางนั้น รวดเร็วกว่าผู้ฝึกตนที่มีชีพจรตี้จิงทั่วไปเสียอีก
องค์ไท่จู่เอามือไพล่หลัง พลางมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาแน่วแน่
ครั้นเป็นซั่งกวนเยว่ ขอบเขตพลังปราณของนางนั้น ได้ทะลวงไปถึงจอมยุทธ์ระดับแปดขั้นสูงแล้ว และอีกเก้าเดียวก็จะถึงขั้นจอมยุทธ์ระดับเก้าแล้ว
ด้วยประสบการณ์ดังกล่าว ไม่แปลกเลยที่ฉู่หลิวเยว่ในชาตินี้ จะใช้เทคนิคมากมายที่สั่งสมมาเป็นทางลัดช่วยให้ตนทะลวงผ่านได้เร็วกว่าเดิม
และนางมีโอกาสทำลายกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติเช่นนี้ได้อีกหลายครั้ง…
องค์ไท่จู่ถอนหายใจเบาๆ ดวงตาของเขาทอประกายอย่างชื่นชม
แม้ฉู่หลิวเยว่ในปัจจุบันจะไม่มีชีพจรเทียนจิง และน่าเสียดายยิ่ง แต่การที่นางมาได้ขนาดนี้ย่อมบ่งบอกว่า ตัวนางเองนั้นมีพรสวรรค์ขนาดไหน
ไม่รู้เลยว่ายามถึงคราออกไปจากที่นี่ นางจะทะลวงขั้นพลังปราณได้ถึงระดับใด?
…
ตัดภาพมาที่คนด้านบน ซึ่งไม่รู้ถึงสถานการณ์ด้านล่างเลยแม้แต่น้อย
ซั่งกวนหว่านกำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อีกใจหนึ่งก็รู้ว่า มู่ชิงเห่อแจ้งแล้วว่าที่นี่อันตรายมาก ต้องอพยพโดยด่วน
แต่อีกใจหนึ่งก็อยากเก็บบัวระบำที่โผล่พ้นน้ำให้ได้ จะให้นางกลับไปมือเปล่าก็น่าเสียดายแย่
สิ้นคำของมู่ชิงเห่อ คนทั้งขบวนก็เงียบลง พลันหันไปมองซั่งกวนหว่าน
ขณะนี้ แม้แต่สาวกของสำนักวิขาต่างๆ ที่เคยตกตะลึงและหลงไหลในความงามของทะเลสาบกระจกเมื่อครู่ก่อน ก็ยังประหม่าและไม่กล้ายืนหยัด
ในตอนแรก ไม่มีผู้ใดใส่ใจคำเตือนของมู่ชิงเห่อเลย
กระทั่งเกิดเรื่องขึ้นกับผู้อาวุโสชิวซี พวกเขาถึงได้ตาสว่าง พลันเชื่อแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ต่างจากสิ่งที่พวกเขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง!
คำพูดของมู่ชิงเห่อนั้นแม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่มันกลับมีน้ำหนักชั้นเชิงอย่างมาก!
การที่พวกเขามาที่นี่ ส่วนใหญ่ก็เพื่อต้องการสมบัติล้ำค่าของแดนภังคะแห่งนี้
ทว่าตอนนี้น่ะหรือ ขอเอาชีวิตให้รอดก่อนก็พอ!
บัวระบำคือสมบัติล้ำค่าในทวิภพนี้ก็จริง แต่ถ้าต้องแลกด้วยชีวิต คงไม่มีผู้ใดสืบสานภารกิจนี้ต่อแน่นอน
ซั่งกวนหว่านเองก็รู้ดี
ณ ตอนนี้ ไม่ว่านางจะส่งใครไปอีก ก็คงไม่เหมาะ
เพราะมันไม่ต่างกับส่งคนไปตายเลย!
แต่นางก็ยังอยากได้บัวระบำดอกนั้น
เมื่อเจียงอวี่เฉิงเห็นท่าทีโลเลของนาง ก็พอจะเดาได้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่
“หว่านเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว ทะเลสาบแห่งนี้พิลึกพิลั่นนัก หากเรารั้นอยู่ต่อ เกรงว่าจะได้เกิดเรื่องเลวร้ายกว่านี้ขึ้นแน่! ถอยก่อนเป็นการดีที่สุด อย่างใดเสียบัวระบำดอกนี้ ก็จะบานอยู่ที่นี่อีกหลายปี เช่นนั้นกลับซีหลิงกันก่อนแล้วค่อยหาวิธีอีกครา เป็นอย่างใด?”
ซั่งกวนหว่านยังคงลังเล
“แต่…ถ้าระหว่างนั้นเกิดอันใดขึ้นกับบัวนี่…”
“บัวระบำดอกนั้นแสนจะรับมือได้ยาก เจ้าเองก็เห็นแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสชิวซีก็ยังมิรอด เช่นนั้นใครจักเอามันไปได้?”
ซั่งกวนหว่านครุ่นคิด พูดอีกก็ถูกอีก
ทั่วทั้งราชวงศ์เทียนลิ่ง มีคนที่แข็งแกร่งเช่นผู้อาวุโสชิวซีอยู่เพียงไม่กี่คน
ตราบใดที่เรื่องของบัวระบำไม่รั่วไหลออกไป ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาใหญ่อันใดนัก
เจียงอวี่เฉิงมองนาง พลันปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลลงเล็กน้อย
“อีกอย่าง เจ้าเองก็ต้องกลับไปรักษาตัวด้วย ครั้นหายดีแล้ว ค่อยกลับมาที่นี้ใหม่ก็ยังไม่สาย”
สุดท้ายประโยคนี้ก็ทำให้ซั่งกวนหว่านตระหนักได้
ทั้งร่างกายของนาง และใบหน้าของนาง ล้วนต้องการการรักษาฟื้นฟู
และในเมื่อทะเลสาบอันตรายเช่นนี้ แน่นอนว่านางไม่สามารถใช้ให้ใครลงไปได้แล้ว หรือไม่ก็กลับซีหลิงก่อน บางทีนางอาจจะหาคนที่เหมาะสมกับโอกาสที่เหมาะเจาะกว่านี้ก็ได้
นางคิดแล้วคิดอีก แล้วในที่สุดก็ยอมพยักหน้าตอบ
“ตกลง!”
หลังจากซั่งกวนหว่านยินยอม ทุกคนต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
การที่ผู้อาวุโสประจำราชสำนักสองท่านสิ้นชีพลงที่นี่ ทำให้เห็นว่าแดนภังคะนั้นอัตรายมากเพียงใด!
และถ้าเกิดโชคร้ายขึ้นมา คนที่ตายก็อาจเป็นพวกเขาแทน!
กำลังพลทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว ภายใต้การสั่งการของมู่ชิงเห่อ
อย่างใดก็ตาม ถ้าให้เทียบกับความตื่นเต้นที่ได้ก้าวเข้ามาที่นี่ในคราแรก ยามนี้สีหน้าของทุกคนกลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและสูญเสีย
พวกเขามาที่นี่ด้วยความคาดหวังต่างๆ นาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อันใดเลย แถมยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด!
เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก จู้หงและเพื่อนร่วมสำนักคนอื่นๆ จากภูเขาเขี้ยวมังกร จึงเลือกที่จะเดินรั้งท้าย
แต่โชคดีที่เมื่อเทียบกับสำนักวิชาอื่นแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บมากมาย แต่อัตราการรอดชีวิตของพวกเขาก็สูงมาก และไม่มีใครเสียชีวิต
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนแล้ว
และศิษย์พี่น้องที่เดินทางมาที่นี่กับเขา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องคนสนิทที่มีพรสวรรค์ยิ่ง
การตายของพวกเขาคนใดคนหนึ่ง จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา
อย่างใดเสีย สิ่งเลวร้ายที่สุดนั้น กลับไม่ได้เกิดขึ้นกับสำนักนิมิตสวรรค์ผู้อ่อนแอ แต่กลายเป็นสำนักกระบี่เมฆาม่วงต่างหาก!
ตอนมาแรกๆ พวกเขามีกันอยู่สิบชีวิต แต่พอขากลับดันเหลือรอดเพียงสามชีวิตเท่านั้น
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ซ่งชิงเหนียน นายน้อยของสำนักกระบี่เมฆาม่วง
ถึงแม้ว่าอีกสองคนที่เหลือจะรอดชีวิต แต่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมันอาจส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในอนาคตของพวกเขา
ใครจะคิดว่าสำนักกระบี่เมฆาม่วงที่เคยมีอำนาจบาตรใหญ่ สุดท้ายจะมีจุดจบเช่นนี้?
ท้องฟ้ากว้างมืดสนิท
พระจันทร์กลมโตสว่างไสวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และสาดแสงลงมายังพื้นดิน
หลังจากเดินเท้าอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดทุกคนก็กลับมายังบริเวณสามแยกที่เป็นจุดเริ่มต้น
ครั้นกลับมายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง อารมณ์ของทุกคนก็ได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ทางด้านซ้ายมือ ป่าหมอกมายาที่เคยเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ ได้กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า
บนพื้นดินนั้นทั้งขรุขระ เกลื่อนกลาดไปด้วยกิ่งก้านที่ตายแล้ว รวมทั้งลำต้นแห้งเหี่ยวและรากเน่าเปื่อย
แค่มองแวบเดียวก็รู้สึกราวกับป่าต้องคำสาป!
ไหนจะลมปราณเยือกเย็นที่ปกคลุมไปทั่วอีก แค่มองจากระยะไกล ก็สามารถทำให้คนมองตัวสั่นขวัญผวาได้แล้ว!
จู้หงหันขวับไปมองมู่ชิงเห่ออย่างอดไม่ได้ พลันเอ่ยเสียงเบา
“รองแม่ทัพมู่ พวกมู่หงอวี่ยังอยู่ด้านใน โปรดรอพวกเขาต่ออีกหน่อยเถอะ?”