ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 770 นางกลับมาแล้ว
ตอนที่ 770 นางกลับมาแล้ว
เชียงหว่านโจวส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้”
เขารู้แค่ว่าในร่างของตัวเองมีผนึกฝังอยู่ แต่กลับไม่รู้ว่ามันถูกผนึกไว้ตั้งแต่เมื่อใด และยิ่งไม่รู้เลยว่าใครคือคนที่ลงผนึกไว้ในตัวเขา
ทว่าผนึกนี้ค่อนข้างแปลก
โดยทั่วไปแล้วคนที่มีผนึกอยู่ในตัว จะใช้มันเพื่อกำราบพลังปราณดั้งเดิม
แต่ผนึกของเขาไม่เป็นเช่นนั้น แถมยังถูกลมปราณเหมันต์แช่แข็งไว้อีกต่างหาก
และจนถึงตอนนี้ เชียงหว่านโจวเองก็ยังไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วค่ายกลนั่นมีไว้เพื่ออันใด
เขาเคยคิดจะเอามันออก แต่ลองหลายวิธีแล้ว ผนึกนั่นก็ยังอยู่ไม่คลาย
หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าผนึกไร้ซึ่งการตอบสนอง เขาจึงระงับเรื่องนี้ไว้
แต่คิดไม่ถึงว่าฉินอีจะเห็นมันเข้า แถมยัง…ดูลุกลนมากเสียด้วย
พอได้ยินคำตอบของเชียงหว่านโจว นัยน์ตาของฉินอีก็ฉายแววผิดหวัง
เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเชียงหว่านโจว แล้วใช้สายตาสำรวจมองอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่ามันตรงกับการคาดเดาของเขาหรือไม่
แต่แล้วรูปตราผนึกนั่นก็จางหายไป
เมื่อเห็นฉินอีจ้องที่คิ้วของเขา เชียงหว่านโจวก็เข้าใจว่า
“มีอันใดอยู่บนหัวของข้าหรือ?”
ฉินอีชะงักไปนิด พอแน่ใจว่ารูปผนึกนั้นหายไปแล้วจริงๆ เขาก็แอบถอนหายใจ แล้วพยักหน้า
“มันกะพริบอยู่แวบหนึ่ง แต่ข้ามองไม่ทัน”
เชียงหว่านโจวมองท่าทางของเขา และถามราวไม่แน่ใจ
“เจ้าเคยเห็นผนึกนี่มาก่อนหรือ?”
ฉินอีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกับมาเบาๆ
“เหมือนจะเคยเห็น แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เจือจางมาก อีกทั้งยังมองเห็นรำไร…ข้าเองก็จำไม่ค่อยได้เช่นกัน”
เชียงหว่านโจวไม่เชื่อ
หากลายผนึกปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขาจริงๆ เมื่อเขาเห็นมันเป็นครั้งแรก จักต้องส่งสายตาตกอกตกใจออกมาบ้าง
ทว่าสีหน้าท่าทางแบบนั้น มันไม่ใช่การกระทำของคนที่บอกว่า “จำไม่ได้” เลย
หรือเขาจะไม่อยากพูด?
แต่เพราะอันใดเล่า?
แต่สุดท้าย เชียงหว่านโจวก็ไม่ได้ถามออกไป
ฉินอีจ้องมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนจะถอนสายตากลับไป
ผ่านไปพักหนึ่ง ถึงได้กล่าวว่า
“เนื่องจากการพัฒนาพลังของเจ้าแข็งแกร่งนัก แน่นอนว่าในอนาคตรูปผนึกจะปรากฏขึ้นอีกแน่ เช่นนั้นจงให้ความสนใจกับตัวเองมากขึ้น และหากมีอันใดผิดปกติ โปรดแจ้งให้ข้าทราบโดยเร็วที่สุด”
น้ำเสียงของเขาฟังดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
เชียงหว่านโจวครุ่นคิด แล้วพยักหน้าตอบกลับไปเบาๆ
สองสามคนที่อยู่รอบๆ รู้สึกประหลาดใจกับฉากนี้นิดหน่อย แต่พวกเขาทั้งหมดก็เลือกที่จะมองข้ามไป
แต่พี่เหลยสี่นั้นทนไม่ได้
“พี่ใหญ่ เกิดเรื่องอันใดหรือ?”
ฉินอีส่ายหน้า
“เปล่า”
และในเมื่อเขาปฏิเสธเช่นนี้ จึงยากสำหรับคนอื่นที่จะสาวความต่อ
ในใจพี่เหลยสี่รู้สึกกังวลเล็กน้อย
พี่ใหญ่ของตนนั้นเป็นพวกชอบวางกลยุทธ์เงียบๆ และเดินหมากอย่างเยือกเย็นอยู่เสมอ
เว้นเสียตอนนั้น ที่เจ้าตัวรู้ว่าองค์หญิงประสบอุบัติเหตุแล้ว เขาก็แทบจะไม่เห็นอีกฝ่ายสูญเสียการควบคุมตัวเช่นนี้
เขามองไม่เห็นรูปผนึกจางๆ ที่ปรากฏขึ้นบนศีรษะของเชียงหว่านโจว
และก็ไม่รู้ว่าอันใดที่ทำให้พี่ใหญ่เสียศูนย์ได้ขนาดนี้…
หลังจากสิ้นสุดความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ นี้ คนทั้งกลุ่มก็เงียบเสียงลงอีกครั้ง
และมีเพียงฉินอีเท่านั้น ที่แม้ว่าจะดูสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วในใจกลับคิดไปต่างๆ นาๆ
หากเขาคิดถูก…
องค์หญิงใหญ่คงยังไม่ทราบเรื่องนี้เป็นแน่
ไว้รอได้โอกาส เขาจะรีบแจ้งให้นางทราบทันที
…
หนึ่งชั่วยามผ่านไปไวเหมือนโกหก
อีกด้านหนึ่งของป่าหมอกมายายังคงเงียบสนิท
และไร้ซึ่งวี่แววของพวกมู่หงอวี่ที่มาด้วยกัน
ความหวังในแววตาของจู้หงและคนอื่นๆ ค่อยๆ จางลง
ยามนี้แล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่ออกมา ย่อมหมายความว่าพวกเขาตัดสินใจจะไม่กลับไปพร้อมกัน
หลายคนที่อยู่ข้างๆ เขา ก็แสดงสีหน้าหมดหวังออกมาเช่นกัน
เดิมทีพวกเขาหวังว่าพวกของฉู่หลิวเยว่จะออกมา…
“หมดเวลาแล้วสินะ?”
ซั่งกวนหว่านเอ่ยปากถาม
ในตอนนี้จิตใจของนางสงบลงแล้ว นั่นเพราะฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ไม่กลับมาตามกำหนด นางจึงอารมณ์ดีขึ้นมาก
และสิ่งนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า จนถึงตอนนี้แล้วคนพวกนั้นก็ยังหาฉู่หลิวเยว่ไม่พบ
จะไปหาเจอได้อย่างใดเล่า?
น่าขำสิ้นดี!
ต่อให้พวกเขาจะพลิกผืนป่าหมอกมายาทั้งหมด ยังแทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
และกว่าจะถึงตอนนั้นจริงๆ ก็เกรงว่าฉู่หลิวเยว่คงเหลือแต่กระดูกแล้ว!
เจียงอวี่เฉิงหลุบตาลง ปกปิดคลื่นอารมณ์บางอย่างในดวงตาของเขา
“เดินหน้า!”
มู่ชิงเห่อก้าวไปข้างหน้าและเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้าย พลันร่างเงาของกลุ่มคนก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แสงจันทร์เย็นยะเยือกสาดส่องลงบนแดนภังคะอันกว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต ทั้งยังแฝงไปด้วยความอ้างว้างและความเดียวดายปะปนอยู่ภายในคืนที่เงียบสงัดนี้
ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง กลับมีจุดสีแดงปรากฏขึ้นบนดวงจันทร์
จุดสีแดงนั้นค่อยๆ ขยายออก และในไม่ช้าก็แผ่ขยายออกไปกลืนกินมันอย่างเงียบเชียบ
ดวงจันทร์ที่แต่เดิมเคยสว่างไสวอย่างไม่มีใครเทียบได้ บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเลือดไปเสียแล้ว
ช่างดูพิกลยิ่ง
ทะเลทรายซึ่งร้อนและแห้งแล้งในตอนกลางวัน กลับเย็นจัดในตอนกลางคืน
สายลมยามราตรีพัดโชยมา พร้อมความเย็นที่หนาวเข้ากระดูก
ใต้เนินทรายที่คล้ายคลื่นน้ำ ดูราวกับมีบางสิ่งกำลังขยับตัว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงบางอย่างแว่วขึ้นมา
“นางกลับมาแล้ว?”
มันเป็นน้ำเสียงที่ไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นของบุรุษหรือสตรี หากแต่ฟังดูไพเราะราวดนตรีชั้นสูง ที่ชวนให้ลุ่มหลง
ครู่ต่อมา บนเนินทรายไม่ไกลนัก ก็มีเม็ดทรายกลิ้งลงมาแล้วก่อตัวเป็นคลื่นน้ำวนราวทรายดูด จนเกิดเสียง “ซู่ ซู่” ไม่หยุด
“เป็นไปได้อย่างใด?”
ครานี้เป็นเสียงของเด็กเล็กที่ฟังดูยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่น้ำเสียงนั้นกลับดูเป็นผู้ใหญ่มาก และแฝงด้วยร่องรอยของความไม่พอใจ
“เดิมทีนางบอกจะกลับมาภายในไม่กี่วัน แต่สุดท้ายผ่านไปหลายปีนางก็ไม่กลับมา! คนผิดสัญญาพรรค์นั้น จักเชื่อคำนางได้อย่างใด? ชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการพบหน้านางอีกแล้ว!”
“เจ้าไม่อยากเห็นสิ่งที่คอยเฝ้ามองทุกคืนยามเกิดพระจันทร์สีเลือดหรือ? เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องที่เจ้าเฝ้ากระทำซ้ำๆ อยู่ทุกวี่วันหรือไร?”
คราวนี้เป็นเสียงของชายชราที่ฟังดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่ก็มีความเกียจคร้านปะปนอยู่เล็กน้อย
“ทะเลทรายแห่งนี้ถูกเจ้าป่วนเสียจนวุ่นวายไปหมด”
เสียงที่เหมือนเด็กเล็กเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างชั่วร้าย
“แล้วถ้าข้าแค่มองเฉยๆ เล่า? ข้าแค่อยากจะดูว่านางจะแถไปได้นานแค่ไหน! เพราะในโลกนี้มีนางคนเดียวที่กล้าโกหกข้าแบบนี้!”
หลังจากด่าอย่างอุกอาจ เขาก็ยังรู้สึกไม่พอ พลันพึมพำด้วยความโกรธ
“นังหนูนั่น! ไว้เจอกันอีกครั้ง ข้าจะสั่งสอนนางให้สาสมเลย! คอยดูเถิดว่านางจะกล้าหนีไปอีกหรือไม่!”
“อยากทำก็ทำเลย แต่ข้าไม่ร่วมด้วยหรอกนะ” เสียงของชายชราหัวเราะเบาๆ
“เจ้าคนแก่ไร้ประโยชน์!”
“เอาน่าๆ”
เสียงที่พูดในตอนแรกดังขึ้นอีกครั้ง
เหมือนว่าคนๆ นั้นจะหัวเราะเบาๆ และพูดช้าๆ ว่า
“พูดตอนนี้มันจะมีประโยชน์อันใด? เรายังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของยัยหนูนั่นเลย แต่ทว่า…เหตุใดนางถึงวิ่งเข้าไปในป่าหมอกมายากัน?”
“แค่ไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งสองสามปี ก็ลืมกฎไปแล้วหรือ!” เสียงที่เหมือนเด็กตวาด แต่แล้วมันก็หยุดกะทันหัน “เดี๋ยวนะ! ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติกับป่าหมอกมายา?”
สิ้นคำ คนอื่นๆ ก็เงียบเสียงลง
“เจ้าสิ่งนั้นจะออกมาแล้วหรือ!?”
เสียงของชายชราเอ่ยระคนตกใจ
“เหตุใดนางถึงไปที่นั่นในเวลานี้!? ข้าเคยบอกนางไปแล้วมิใช่หรือว่า…”
“ถึงไม่ได้พบกันมาหลายปี ดูเหมือนความกล้าของนางจะเพิ่มขึ้นมาก”
เสียงที่ไพเราะและไร้ตัวตน ถูกพัดพาไปตามสายลม
“ข้าจะเข้าไปดูเอง”
“ข้าไปด้วย!”
“พวกเจ้าจะรีบไปไย! รอข้าด้วย!”
พลันเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ เบาลง
เหลือไว้เพียงเสียงเศษทรายที่กระทบกันไปมา
จากนั้นทะเลทรายที่ถูกย้อมให้เป็นสีโลหิตเนื่องจากแสงจันทร์ ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง