ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 773 การประชุม
ตอนที่ 773 การประชุม
ในเวลานี้ เสวี่ยเสวี่ยไม่รู้ว่ามันถูกเจ้านายตัวเองหลอกขายเสียแล้ว
ในใจของมันเปี่ยมไปด้วยความสุข มันฉีกช่องว่างความว่างเปล่าออก และพุ่งเข้าไปโดยตรง!
แล้วมุ่งหน้าไปยังแดนภังคะ!
…
หลังจากนั้นไม่นาน หรงซิวก็ดึงสายตากลับมาแล้วหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดประตูและก้าวออกไป
“ถวายบังคมขอรับ องค์ชาย!”
เมื่อเห็นเขาเดินออกมา เหล่าทหารข้างนอกก็รีบแสดงความเคารพทันที!
“ลุกขึ้นเถอะ”
ขณะนี้ท่าทีของหรงซิวดูสงบลงแล้ว ไร้ซึ่งวี่แววของความโมโหโกรธา
“ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
“ยังขอรับ องค์ชาย”
หรงซิวหรี่ตาลงทีละนิด
พอลองคำนวณเวลาดู ถึงได้รู้ว่าเขาไปนานพอสมควรแล้ว
ว่าตามนิสัยของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกแล้ว เขาจะไม่ใช้เวลาร่วมกับคนของพรรคหมิงนานเช่นนี้
เดิมทีเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เพราะคนของพรรคหมิงนั้นยากเกินจะรับมือ
แต่ตอนนี้เขาต้องรีบไปยังแดนภังคะให้เร็วที่สุด
ฉะนั้นจึงต้องรีบตามตัวผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกมาหารือเรื่องนี้โดยไว
เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
…
ในพื้นที่มืดสลัวรอบข้างมีแต่ความเงียบสงัด
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ยังรู้สึกเหมือนได้ยินคนกระซิบอยู่ข้างหูตลอดเวลา
แม้จะฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็รู้ว่าเสียงนั้นยังคงพูดพร่ำอยู่เสมอ
ทว่าผ่านไปพักใหญ่ เสียงนั้นก็ค่อยๆ เงียบลง
นางหันมององค์ไท่จู่อย่างใจเย็น แต่ก็ไม่เห็นพบความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าของเขา
ราวกับว่าองค์ไท่จู่ไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น
น่าแปลก…
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงพลางคิดทบทวนในใจ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า มีคนจงใจให้นางได้ยินเสียงเหล่านี้เพียงผู้เดียว?
แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่มีพิษมีภัยเลยแม้แต่น้อย…แถมยังดูมีความสุขและผ่อนคลายมากเสียอีก
เสมือนว่า…พวกเขาเคยสนิทสนมกับนางอย่างนั้นแหละ
ฉู่หลิวเยว่นึกคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไร้ซึ่งคำตอบ
จนแล้วจนรอด สุดท้ายนางก็ยังคงปิดเปลือกตาไว้ และสลัดความคิดนั่นออกไป แล้วดูดกลืนพลังของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ต่อ!
เปรี๊ยะ!
เสียงคมชัดนั่นดังขึ้นมา
ชิ้นส่วนผลึกอีกชิ้นแตกออกและหล่นลงมาจากเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์!
จากนั้นมันก็บินไปหาฉู่หลิวเยว่เงียบๆ พลันหลอมละลายเข้าไปในม่านน้ำ และกลายเป็นไข่มุกธาราซึมเข้าสู่ร่างกายของนาง
…
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คนทั้งสามคนก็ถึงกับตกตะลึง
แม้แต่ตู๋กูโม่เป่าที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความโกรธ ก็ตกใจจนหยุดสาปแช่งหรงซิวไปชั่วขณะ
“นะ…นะ…นังหนูนั่นทำอันใดอยู่กัน? ผลึกนั่นก่อตัวขึ้นจากพลังที่ควบแน่นของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์สั่งสมมานานนับพันปี มันถูกใช้เป็นเกราะป้องกัน เพื่อให้เมล็ดพันธุ์นั้นโตเต็มที่ แต่นางกลับกลืนมันเข้าไปทั้งๆ อย่างนั้นน่ะหรือ?”
หลานเซียวส่งเสียง “จิ๊” ออกมาเบาๆ
“คิดไม่ถึงเลยว่าพอนังหนูอายุน้อยลง ความสามารถจักเพิ่มขึ้นขนาดนี้…เป็นอย่างใดเล่า ตอนนั้นข้าก็บอกแล้วว่าขุดมันขึ้นมาให้นางเลยมิได้หรือ? พอพวกเจ้าไม่เห็นด้วย ยามนี้นางจึงจัดการมันด้วยตัวเองเสียเลย!”
การดำรงอยู่เหนือกาลเวลาเช่นนี้ มักจะประกอบไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า
ไม่ใช่ว่าจะบีบให้มันยอมจำนนไม่ได้ แต่ถ้ามันฝืนแล้วโมโหขึ้นมา จักเกิดอันตรายตามมาภายหลังแน่ๆ
มีแต่ต้องใช้พลังของตัวเองข่มมัน และทำให้มันยอมจำนนอย่างนิ่มนวลเท่านั้น ถึงจะทำให้มันยอมกลายมาเป็นสมบัติของตนได้!
ซึ่งด้วยวิธีนี้ จะทำให้ผู้ถือครองไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานในอนาคตเลย
ถึงนังหนูนั่นจะค่อยๆ ดูดผลึกออกมาทีละชิ้นเล็กๆ แต่ยังทำได้ดีมาก!
ขอแค่มีเวลามากพอ นางก็สามารถใช้พลังของตัวเองปราบเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน!
ผู้อาวุโสลำดับห้าแอบประหลาดใจ
“ม่านน้ำนั่นมันอันใดกัน? พวกเจ้าเห็นหรือเปล่า? ตอนนี้นังหนูเพิ่งได้เป็นจอมยุทธ์ระดับห้า แต่กลับอาศัยม่านน้ำนั่นเผชิญหน้ากับเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ แถมยังชนะด้วย!”
หลานเซียวตั้งใจมอง พลันส่ายหัวแล้วตอบไปตรงๆ ว่า
“ไม่เห็น”
ตู๋กูโม่เป่ากลั้นใจมองอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“ไม่เห็น”
อีกสองคนมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“พี่เป่า เจ้าผจญภัยไปทั่วทวิภพตั้งหลายปี และได้เห็นสมบัติหายากมากกว่าเราสองคนรวมกันอีก แล้วยังมีสิ่งที่เจ้าไม่เคยเห็นอีกหรือ?”
เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน หยิ่งยโส และดื้อรั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะยอมรับอันใดเช่นนั้น
ตู๋กูโม่เป่าโบกมืออย่างหงุดหงิด
“อยู่ห่างจากนางเพียงนี้ ไหนจะอาณาเขตของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นอีก แล้วข้าจะไปเห็นได้อย่างใด? รอให้นางจัดการกับเมล็ดนั่นได้ก่อน ค่อยให้นางมาอธิบายด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?”
เพราะอย่างใดเสีย สุดท้ายแล้วเรื่องนี้มันก็ไม่ธรรมดาอยู่ดี!
…
ซั่งกวนหว่านและคนของนางต้องผ่านการเคลื่อนย้ายทางไกลหลายครั้ง และในที่สุดก็กลับมาถึงซีหลิง
ณ จัตุรัสผิงเหลียง ยังคงเต็มไปด้วยเสียงดังของผู้คนที่สัญจรไปมาเฉกเช่นทุกวัน
แต่ทันใดนั้น ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางจัตุรัส ก็หมุนช้าๆ!
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
“ดูสิ! จู่ๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เปิดทำงาน!”
“หรือว่าขบวนขององค์หญิงสามจะเสด็จกลับมาแล้ว?”
“ไม่น่าใช่นะ? พวกเขาเพิ่งไปได้ไม่นานเองมิใช่หรือ? เมื่อลองคำนวณเวลาที่ใช้ไปกลับแล้ว… พวกเขาคงไม่ได้สินใจกลับมาทันที ที่ไปถึงแดนภังคะหรอกใช่หรือไม่?”
“แต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้มีไว้สำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ…ตั้งแต่พวกเขาจากไป ค่ายกลนี้ก็ไม่ได้ถูกย้ายไปไหน จะมีใครกล้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้โดยพลการอีกหรือ? ไม่กลัวตายเลยหรือไร?”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน ทหารม้าทมิฬที่อยู่รอบๆ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว!
ผู้คนที่อยู่บริเวณจัตุรัสผิงเหลียงถูกไล่ต้อนออกไป พร้อมกับทหารม้าทมิฬที่เข้ามาห้อมล้อมพื้นที่เอาไว้ รวมทั้งปิดล้อมพื้นที่ตรงกลางค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นกัน
ทหารม้าทมิฬผู้โหดเหี้ยมเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ!
ราวกับเป็นการต้อนรับครั้งยิ่งใหญ่!
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ยังมีข้อสงสัยใดๆ อีกหรือ?
ผู้ที่ทำให้ทหารม้าทมิฬตั้งท่าแบบเตรียมพร้อมนี้ได้ มีแต่องค์หญิงสามและขบวนของนางเท่านั้น!
เมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นอายที่กดดันรุนแรงเช่นนี้ ชาวเมืองหลายคนจึงปิดปากเงียบสนิท
แต่สายตาก็คงยังจดจ่ออยู่ตรงบริเวณนั้นตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่า ทุกคนต้องการเห็นว่าการที่องค์หญิงสามนำทัพไปยังแดนภังคะ เพื่อหาวัตถุดิบปรุงโอสถให้ฝ่าบาทนั้น จะได้ผลลัพธ์กลับมาอย่างใด
และไม่นานก็มีเงาของกลุ่มคนปรากฏขึ้นบนค่ายกลเคลื่อนย้าย!
ซึ่งผู้ที่เดินนำหน้านั้น หากไม่ใช่ซั่งกวนหว่าน แล้วจะเป็นใครไปได้อีก!?
ส่วนข้างๆ นางก็เป็นเจียงอวี่เฉิง!
ทหารม้าทมิฬที่ตั้งแถวห้อมล้อมอยู่ก่อนหน้า เอ่ยวาจาลั่น
“ยินดีต้อนรับเสด็จกลับมาขอรับ องค์หญิงสาม!”
ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่รอบข้าง จำต้องถวายบังคมนางอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทันใดนั้น คนกลุ่มใหญ่ก็คุกเข่าลงพร้อมกันทุกทิศทาง
“ยืดตัวขึ้นเถอะ”
ซั่งกวานหว่านตอบ
จากนั้นพวกเขาถึงได้ลุกขึ้นยืน
แต่เมื่อพวกเขาเห็นสภาพของนางเต็มๆ ตา หลายคนก็ต้องประหลาดใจ
ซั่งกวนหว่านเอาผ้าปิดคลุมใบหน้าไว้ชั้นหนึ่ง?
อีกทั้งนางยังสวมเสื้อคลุมที่มีหมวกคลุมศีรษะไว้ จนมันเกือบคลุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางได้มิด
การที่นางแต่งตัวเช่นนี้ ทำให้พวกเขามองเห็นแค่ดวงตาของนางเท่านั้น และส่วนอื่นล้วนถูกเสื้อคลุมปกปิดไว้หมด
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่มันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น เนื่องจากใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ดังนั้น การที่ซั่งกวนหว่านสวมชุดแบบนี้ จึงทำให้คนมองเกิดความสงสัยอย่างมาก
แต่ถึงจะใคร่รู้เพียงใด ปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ถาม
ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นนายพลของหน่วยทหารม้าทมิฬ ก้าวไปข้างหน้า
“กระหม่อม หลู่ชาน ขอถวายบังคมองค์หญิงสาม! องค์ชายใหญ่! และรองแม่ทัพ ขอรับ!”
ซั่งกวนหว่านที่ไม่ยืนอยู่บริเวณนี้นานนัก จึงรีบตอบกลับไปทันที
“ในการเดินทางครั้งนี้ กำลังพลของกองทัพทหารม้าทมิฬทุกนาย และสาวกของสำนักวิชาต่างๆ ล้วนทำงานกันอย่างหนัก พวกเขาจำต้องกลับไปพักฟื้น นอกจากนี้ ข้าเองก็ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือกับข้าราชบริพารทั้งหมดด้วย จงส่งหมายเรียกแก่เจ้าสำนักทุกสำนักวิชา และประมุขของแต่ละตระกูลให้ไปที่พระราชวังโดยด่วน!”
หลู่ซานตกใจ แต่ก็ตกปากรับคำอย่างไว
“ขอรับ!”