ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 775 นายของเจ้าอยู่ที่ใด
ตอนที่ 775 นายของเจ้าอยู่ที่ใด
“ช้าก่อน!”
ในขณะที่เจี่ยนเฟิงฉือกำลังจะลงมือ และก่อนที่พลังปราณดั้งเดิมจะพุ่งออกไป สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ก็คว้าข้อมือของเขาไว้เสียก่อน
ในจังหวะที่กำลังงุนงง เขาจึงพลาดโอกาสได้ลงมือไปแล้ว
เจี่ยนเฟิงฉือตวัดสายตามองนางอย่างไม่สบอารมณ์
“หลิ่วเอ๋อร์น้อย เหตุใดเจ้าจึงหยุดข้า บางทีอาจมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่ภายชุดคลุมนั่นก็ได้!”
เขารู้จักซั่งกวนหว่านดี
ซั่งกวนหว่านให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาของนางเป็นอย่างมาก และยังชอบแต่งตัวประทินโฉมงดงามเพื่อให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ และเพื่อให้คนทั้งโลกยกย่องเยินยอนาง
ไม่ว่าจะเมื่อใด นางก็ให้ความสำคัญกับการแต่งหน้าและสวมใส่เครื่องประดับผมมาก ซึ่งนางจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้นางกลับสวมผ้าคลุม แถมยังสวมเสื้อคลุมแล้วใช้หมวกปกปิดตัวเองอย่างมิดชิดอีก ถ้าไม่ผีเข้าก็คงบ้าไปแล้ว!
การที่นางกลับมาจากแดนภังคะโดยไร้การแจ้งเตือนล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่านางตัดสินใจกะทันหัน
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การที่นางทำเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นเกิดข้อสงสัยในตัวนาง
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองเขา แล้วสะบัดมืออก
“หากไม่หยุดเจ้าไว้ เจ้าคงพุ่งไปเค้นคอนางกลางถนนแน่ๆ? เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีทหารม้าทมิฬมากมายเพียงใด? เพียงเจ้าลองยื่นมือออกไป พวกเขาจะพุ่งมาเฉือนเจ้าที่หน้าประตูบ้านในพริบตา!”
เจี่ยนเฟิงฉือกระแอมไอ พลันถอยหลังกลับ ก่อนจะยิ้มเยาะอย่างเริงร่า
“ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นน่า หลิ่วเอ๋อร์น้อยโปรดอย่าโกรธเคืองข้า เหตุใดข้าจะไปโมโหใส่คนอย่างนางให้เสียเวลา?”
เมื่อสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความจริงจังของเจี่ยนเฟิงฉือแล้ว นางก็ไม่ได้ซักไซ้เท้าความอันใดต่อ
เพียงละสายตาไปครู่เดียว ขบวนของซั่งกวนหว่านก็เคลื่อนออกไปไกลแล้ว
แต่นางเกิดสงสัยขึ้นมาว่า
“เหตุใดพวกเขาถึงดูรีบร้อนเพียงนั้น…หรือจะรีบกลับวัง?”
เจี่ยนเฟิงฉือลูบคางราวครุ่นคิด
“ก็ข้าบอกแล้วว่าภายใต้ผ้าคลุมของนางนั้นต้องมีความลับซ่อนอยู่แน่ แถมพระราชวังก็เป็นอาณาเขตของนาง นางจึงอยากรีบกลับยังสถานที่ที่ปลอดภัยของตัวเองไงเล่า เห้อ โชคดีที่ข้าทำเรื่องที่ควรทำเสร็จหมดแล้ว”
ถ้านางกลับมาเร็วกว่านี้ เขาคงลำบากแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้าทำได้คล่องแคล่วแยบยลมากๆ”
เจี่ยนเฟิงฉือยิ้มหวานประสาชายเจ้าสำราญขี้หลี
“หลิ่วเอ๋อร์น้อยมักตีมึนไม่ยอมชมข้าง่ายๆ ทว่าวันนี้กลับชมข้า ช่างหาได้ยากนัก”
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจคำพูดของเขา พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“จริงสิ ถ้าขบวนเสด็จกลับมาแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาก็ต้องกลับมาพร้อมขบวนสิ”
ดวงตาของเจี่ยนเฟิงฉือกระตุกเบาๆ
บางที่ มู่หงอวี่กับฉู่หลิวเยว่อาจจะเดินรั้งท้ายก็ได้
เขามองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง แต่กลับเห็นว่าหลังจากซั่งกวนหว่านและคนอื่นๆ จากไปแล้ว กลับไม่มีใครเดินรั้งท้ายตามไปเลย
แต่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังสงสัย จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากนอกหน้าต่าง
“พวกเจ้ายังไม่รู้หรือ? ศิษย์ของชงซู่เก๋อกลุ่มนั้นล้วนตายอยู่ที่แดนภังคะทั้งหมด!”
…
ในห้วงอากาศอันมืดมิด กาลเวลาค่อยๆ หมุนเวียนไปทีละน้อย
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิและจดจ่ออยู่กับการฝึกปราณของตน
ลมปราณบนร่างกายของนางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่สามคนที่ยังคงรออยู่ข้างนอก กลับกระสับกระส่ายจนน่าเป็นห่วง
“ใกล้จะหมดเวลาแล้ว เราต้องกลับไปให้เร็วที่สุด!”
ในที่สุดผู้อาวุโสลำดับห้าก็โพล่งออกมา
“แต่เรายังไม่รู้เลยว่า อีกนานแค่ไหนนังหนูนี่ถึงจะออกไปได้!”
ความจริงแล้วหลานเซียวและตู๋กูโม่เป่าตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ดี
หลานเซียวเริ่มลังเล
“แต่ถ้าวันนี้เราไม่ได้เจอนังหนู จักต้องรอไปอีกหนึ่งเดือนเชียวนะ”
เพราะคืนพระจันทร์สีเลือด จะเกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
ตู๋กูโม่เป่าหมุนตัวเดินออกไป
“หนึ่งเดือนแล้วอย่างใด รอมาได้ตั้งหลายปี แค่หนึ่งเดือนเจ้าต้องกลัวด้วยหรือ?”
อีกสองคนที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับมองหน้ากัน ดวงตาทั้งสองคู่ผสานกันพลันฉายแววประหลาดใจสุดขีด
เขาเป็นคนที่ยึดติดกับนังหนูมากที่สุด แต่ครานี้กลับเป็นคนแรกที่ยอมจากไปหรือ?
ผู้อาวุโสลำดับห้าก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะถามว่า
“เจ้าจะไม่รอแล้วจริงๆ หรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าตอบกลับอย่างเย็นชา
“ถึงรอต่อไป แล้วคิดว่านางจะเห็นพวกเจ้าหรือ?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าเงียบไปพักหนึ่ง
นังหนูติดอยู่ข้างในนั้น แน่นอนว่านางย่อมมองไม่เห็นพวกเขา
“นางกำลังฝึกตน ดังนั้นให้นางได้ฝึกอย่างสบายใจดีกว่า ส่วนเรื่องการพบกันนั้น…ในเมื่อนางอยู่ที่นี่แล้ว จะเจอกันช้าหรือเร็ว ก็คงไม่ต่างหรอก?”
จากการคำนวณความแข็งแกร่งของนางในปัจจุบันแล้ว หากนางต้องการที่จะกลืนกินเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด จักต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ
แล้วเขาจะรีบร้อนไปไย?
“ที่พี่เป่าพูดก็ฟังดูสมเหตุสมผล” หลานเซียวพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามเขาไป “ไอ้หยา การนอนดึกไม่ดีต่อผิว ข้าต้องรีบกลับไปนอนต่อแล้ว”
สองคนที่เหลือถึงกับเงียบกริบ
ผ่านไปสักพัก
“คนตายเช่นเจ้าจักต้องนอนไปเพื่ออันใด!?”
“หลานเซียว ข้าขอถามเจ้าจริงๆ จังๆ อีกครั้งนะ นี่เจ้าเพี้ยนไปแล้วหรือไร?”
หลานเซียวรู้สึกอนาจใจและขุ่นเคืองพวกเขามาก เพราะแอบคิดว่าทั้งสองคนไม่เข้าใจความงามของเขา
“พวกเจ้าไม่รู้หรือ? ว่านังหนูน่ะ ชอบของสวยๆ งามๆ! เหอะ แต่ความจริงข้าก็เข้าใจดี พวกเจ้าสองคนนั้น คนหนึ่งก็เด็ก อีกคนก็ชราภาพ ไม่ว่าพวกเจ้าจะพยายามมากเพียงใด ก็สู้ข้าไม่ได้หรอก หรือจะเถียง?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าเอ่ยเตือนอย่างเป็นกลาง
“เจ้าลืมหรงซิวไปแล้วหรือ? เจ้าเปลี่ยนหน้ามาแล้วหลายครั้งหลายครา แต่ก็ยังงดงามสู้เขาไม่ได้อยู่ดี”
จินตนาการที่สวยงามในหัวของหลานเซียวแตกสลายทันที ก่อนจะกัดฟันกรอดแล้วสาปแช่ง
“มารดามันเถอะ!”
แต่จู่ๆ ตู๋กูโม่เป่าก็หัวเราะเยาะเย้ย
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา!”
กำลังคิดถึงอยู่แท้ๆ ไม่ทันไรก็โพล่หน้ามาเลยนะ!
ร่างของเขากะพริบถี่ พลันพุ่งตัวออกไปทันที!
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนรุ่งสาง และในป่าก็มีแต่ความมืด
สายลมกรรโชกพัดผ่านมา และไม่นานก็จางหายไป
…
ไม่นานหลังจากนั้น ณ ทะเลทรายจันทราสีชาด
ท่ามกลางห้วงอากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้น ช่องว่างสีดำก็ปรากฏขึ้น
พร้อมกับร่างสีขาวราวหิมะที่พุ่งออกมาอย่างไว!
เสวี่ยเสวี่ยสะบัดร่างของมันไปมา เกล็ดน้ำแข็งจำนวนมากตกลงมาสู่พื้น แสงจันทร์สีเลือดในท้องฟ้ายามรัตติกาลสะท้อนกับเกล็ดน้ำแข็ง จนเกิดแสงจางๆ ส่องสะท้อนออกมา
มันกวาดสายตามองไปรอบๆ พลันย่นจมูก และเริ่มดมหากลิ่นของฉู่หลิวเยว่
ดูเหมือนว่าจะอยู่…
ซ่า ซ่า!
ทว่าขณะเดียวกันกลับมีเสียงแปลกๆ ดังขึ้น
เสวี่ยเสวี่ยก้มหน้ามอง
ดูเหมือนจะมีบางอย่างกำลังวิ่งพล่านอยู่ใต้เนินทราย
มันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะนึกอันใดขึ้นได้ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง!
พระจันทร์สีเลือดลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี
พลันแววตาของเสวี่ยเสวี่ยก็เต็มไปด้วยความสยดสยอง!
แล้วหมุนตัววิ่งออกไปโดยไม่ต้องคิด!
ช่างบังเอิญอันใดเช่นนี้!
แต่ก่อนที่มันจะได้วิ่งออกไป เสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวล ก็ดังมาจากข้างหูเสียก่อน
“เจ้าเกล็ดหิมะตัวน้อย ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าจะวิ่งไปที่ใดกันหรือ?”
เสวี่ยเสวี่ยไม่ได้หันไปมอง มันตะกุยกรงเล็บอย่างแรงเพื่อเตรียมวิ่ง
แต่แทนที่จะวิ่งหนีไปข้างหน้า ร่างของมันกลับถอยหลังและถูกโยนลงพื้น!
เมื่อถูกกดลงบนผืนทรายเย็นๆ ในที่สุดเสวี่ยเสวี่ยก็ตระหนักได้ว่า ตนยังอ่อนแอเกินไป
มันตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด…
พลันนอนหงายท้องให้อีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง
และกระดิกหางแสดงความดีใจ
“ไม่เจอกันหลายปี เจ้าเกล็ดหิมะน้อย ยิ่งโตก็ยิ่งฉลาดเป็นกรดเลย…”
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา ราวกับว่าคนๆ นั้นอยู่ข้างหู
เสวี่ยเสวี่ยตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัว และครวญครางออกมาเบาๆ ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่ของมันแวววาวฉ่ำน้ำ ช่างดูเชื่องและน่ารักมาก
ผู้รู้เท่าทันสถานการณ์ คือผู้เฉลียวฉลาด!
ทว่าพักหนึ่ง เสียงของเด็กแรกเกิดนั่นก็แปรเปลี่ยนป็นเย็นชา
“แล้วนายของเจ้าเล่า?”
…