ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 778 เจ้าอยากมาร้องไห้หน้าหลุมศพหรือ
ตอนที่ 778 เจ้าอยากมาร้องไห้หน้าหลุมศพหรือ
เมื่อฉานอี้ที่รออยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงกรีดร้องของนาง ก็ตกใจรีบถามทันที
“องค์หญิง เกิดอันใดขึ้นกับท่านหรือเจ้าคะ?”
“อย่าเข้ามา!”
ซั่งกวนหว่านกรีดร้องตอบในทันใด
“…เจ้าค่ะ!”
ฉานอี้รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว พลันคิ้วขมวดกันเล็กน้อยด้วยความสงสัย
เมื่อองค์หญิงเสด็จกลับมา ทรงปิดบังอำพรางทุกอย่างไว้แน่นหนามาก แต่ก็เหมือนนางจะคาดเดาอันใดบางอย่างในใจได้บ้างแล้ว
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ…
แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดการเดินทางไปยังแดนภังคะเพียงครั้งเดียว ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
ฉานอี้เงยหน้าขึ้นมองคนในวังที่ยืนอยู่ภายในลานด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงของซั่งกวนหว่านเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่ดี
ทว่าพอสัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่อันตรายของฉานอี้ พวกเขาจึงคลายคิ้วแล้วหลุบตาลง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจถี่ๆ ด้วยซ้ำไป
“พวกเจ้าลงไปก่อน”
“เจ้าค่ะ!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็จากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าได้รับการปลดปล่อย
หลังจากที่พวกเขาหายไปกันหมดแล้ว ฉานอี้ก็มองไปยังประตูที่ปิดอยู่อีกครั้ง
…
ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่รุนแรงนี้ ทำให้สมองของซั่งกวนหว่านว่างเปล่า!
นางรีบมองไปยังกระจกทองสัมฤทธิ์ แต่กลับเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้า ที่นางเพิ่งทาครีมบัวหิมะไปนั้นมีรอยสีดำจางๆ ปรากฏขึ้นมา
เหมือนกับไปโดนอันใดลวกมาจนเป็นรอยบาดแผลนี้!
ผิวและเนื้อส่วนที่ม้วนงอนั้นราวกับถูกไหม้เกรียมด้วยเปลวไฟ มันขดตัวและไหม้เกรียมบางส่วนเล็กน้อย
แม้ว่าจะมีเพียงส่วนเล็กๆ แต่มันก็ชัดเจนมาก!
ที่แท้ความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้ เป็นเพราะถูกไฟเผาไหม้จริงๆ สินะ!
ใบหน้าของซั่งกวนหว่านเต็มไปด้วยความตกใจ
นี่…นี่มันเกิดอันใดขึ้น!?
เห็นได้ชัดว่าครีมบัวหิมะเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาแผลเป็น เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
นางรีบมองดูกล่องที่อยู่ในมือ
ไม่ผิดนี่! นี่คือครีมบัวหิมะ!
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยใช้มาก่อน ในบางเวลาที่นางกระแทกจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้เกิดรอยแผลเป็นตามร่างกาย เมื่อนางใช้เจ้าสิ่งนี้ แผลจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเสมอ
แต่ในตอนนี้…
ซั่งกวนหว่านโยนครีมบัวหิมะทิ้งไป พลันขยับเข้าไปใกล้กระจกทองสัมฤทธิ์อีกครั้ง แล้วมองไปยังรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนาง ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
เพื่อที่จะพาบัวระบำกลับมาโดยเร็วที่สุด นางจึงสั่งคนไปรวบรวมผู้คนจากเหล่าบรรดาเจ้าสำนักใหญ่และตระกูลต่างๆ ในทันทีที่นางกลับมา
เดิมทีนางคิดว่าการใช้ครีมบัวหิมะ จะช่วยให้บาดแผลบนใบหน้าของตนฟื้นฟูได้บ้างเล็กน้อย และเช่นนั้นนางถึงจะสามารถไปพบปะผู้คนได้
แต่นึกไม่ถึงเลยว่า นอกจากจะไม่ฟื้นตัวแล้ว มันยังกลับกลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้อีก!
ในใจซั่งกวนหว่านรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก ร่างกายของนางสั่นเครือเล็กน้อย ริมฝีปากบางเริ่มซีดเผือด
หากรูปลักษณ์ของนางไม่มีทางฟื้นคืนสภาพได้จริงๆ ล่ะก็…
ครีมบัวหิมะที่ว่าดี นางก็ไม่กล้าที่จะใช้มันอีกแล้ว แต่จะมีอันใดให้ใช้ได้อีกล่ะ?
ซั่งกวนหว่านนั่งจ้องมองหน้าตัวเองด้วยความเจ็บปวดและสับสน อยู่หน้ากระจกทองสัมฤทธิ์เช่นนี้เป็นเวลานาน
กระทั่งฉานอี้มาเคาะประตูอีกครั้ง
“องค์หญิงเจ้าคะ เหล่าบรรดาเจ้าสำนักและผู้นำตระกูลต่างๆ ล้วนใกล้จะถึงตำหนักหมิงฮวากันแล้ว ท่านคิดว่า…ท่านต้องการทาสรับใช้มาปรนนิบัติแปลงโฉมท่านหรือไม่?”
ทันใดนั้นซั่งกวนหว่านก็กลับมามีสติอีกครั้ง นางเพิ่งตระหนักได้ว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่นางกลับยังไม่ได้ทำอันใดเลย
กระทั่งตอนนี้ที่นางอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน ถ้าผู้คนมองเห็นนาง ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะหัวเราะเยาะนางขนาดไหนกัน
นางกัดฟันแน่น
“ไม่ต้อง ประเดี๋ยวข้าไปบ่อน้ำร้อนเอง”
มีน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมาบริเวณด้านหลังตำหนักฮวาหยาง
“เจ้าค่ะ”
ฉานอี้ไม่กล้าจะถามอันใดไปมากกว่านี้ และทำได้เพียงตอบรับด้วยความเคารพ
ซั่งกวนหว่านเดินไปด้านหลังเพียงลำพัง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปยังบ่อสำหรับแช่น้ำ
…
เจียงอวี่เฉิงตามกลับมาที่วังพร้อมกับซั่งกวนหว่าน
แต่ซั่งกวนหว่านไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับใครด้วยใบหน้านั้น อีกทั้งเจียงอวี่เฉิงยังมีไหวพริบที่ดีมากเช่นกัน หลังจากที่พูดคุยกันได้ไม่กี่คำ เขาก็ออกไปจากตำหนักฮวาหยาง
จากนั้นเขาก็ตรงไปยังตำหนักชิงเฟิง
หลังจากที่ออกมาได้สักพัก สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดยังคงเป็นสถานการณ์ปัจจุบันของฝ่าบาท
เมื่อเดินทางมาถึงตำหนักชิงเฟิง ที่นั่นยังคงมีการป้องกันอย่างแน่นหนา
แต่เมื่อเห็นเขามา ผู้คนในวังต่างถวายความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
“ถวายบังคมราชบุตรเขย”
วันอภิเษกสมรสของเจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านได้ถูกกำหนดแล้ว ดังนั้นผู้คนในวังจึงเรียกเขาเช่นนั้น
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้าและถามขณะเดินเข้าไปข้างในว่า
“ในช่วงนี้ ฝ่าบาททรงมีสัญญาณการฟื้นตัวตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”
ผู้คนในวังต่างพากันส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน
ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เจียงอวี่เฉิงคาดไว้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดหวังที่ได้ยินเช่นนั้น
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
แม้ว่าในตอนแรกเขาจะใส่พิษลงไปค่อนข้างมาก แต่เมื่อผ่านการรักษาพักฟื้นมาเป็นเวลานานขนาดนี้ อีกฝ่ายก็ควรที่จะฟื้นตื่นขึ้นมาได้บ้างแล้ว
แต่อาการของพระองค์ยังทรงเป็นเช่นเดิมไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง
ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อเจียงอวี่เฉิงกำลังจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อดูอาการด้วยตาตัวเอง ชาววังด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า ผู้คนต่างทยอยมาถึงกันแล้ว และมีรับสั่งให้มาเชิญเขาไปด้วย
เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เจียงอวี่เฉิงทำได้เพียงถอนมือของเขาที่กำลังจะผลักประตูเข้าไปกลับมา และกำชับทุกคนให้ดูแลฝ่าบาทให้ดีๆ เมื่อพูดจบก็หันหลังและจากไป
ตำหนักชิงเฟิงกลับมาสงบอีกครั้ง
ภายในห้อง ซั่งกวนโหยวที่อยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติมาเป็นเวลานาน กลับค่อยๆ ขยับปลายนิ้วเบาๆ
…
ตำหนักหมิงฮวา
ผู้คนจากแต่ละสำนักวิชาใหญ่ ต่างมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีผู้นำตระกูลใหญ่ในเมืองซีหลิงที่ต่างทยอยมากันแล้ว
ผู้คนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง และต่างฝ่ายต่างทักทายกันด้วยความสุภาพ แต่พวกเขาต่างคนต่างมีเรื่องราวในใจ
งานเอิกเกริกเช่นนี้ กล่าวไม่ได้ว่าไม่ใช่งานใหญ่อันใดนัก
ซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงยังคงไม่ปรากฏตัว และเสียงการสนทนาก็ค่อยๆ เริ่มดังขึ้นภายในบริเวณโถงรับรองหลัก
“จู่ๆ องค์หญิงสามก็พาคนกลับมาจากแดนภังคะ อีกทั้งยังเรียกผู้คนจำนวนมากมายมาที่นี่ ดูเหมือนว่าคงจะมีอันใดบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ …”
“ข้าได้ยินมาว่าหนทางสู่แดนภังคะในครั้งนี้ ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก! ลำพังแค่ทหารม้าทมิฬก็สิ้นชีพในสนามเกือบสี่ร้อยรายแล้ว!”
“ยิ่งไปกว่านั้น! สาวกของสำนักต่างๆ ล้วนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน! พวกเจ้าไม่เห็นใบหน้าของซ่งหลวนแห่งสำนักกระบี่เมฆาม่วงกันหรือ ว่าอัปลักษณ์จนดูไม่ได้ขนาดไหน? ครั้งนี้พวกเขาเข้าไปกันสิบคน แต่มีเพียงสามคนเท่านั้นที่รอดกลับมาได้…นี่น่าจะเป็นสำนักที่น่าเวทนาที่สุดเลยกระมัง?”
แม้ว่าทุกคนจะพูดด้วยเสียงที่เบาและต่ำ แต่คนส่วนใหญ่ที่มาอยู่ตรงนี้ต่างเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งทั้งนั้น เหตุใดพวกเขาจะไม่ได้ยินกันล่ะ?
ซ่งหลวนได้ยินข่าวซุบซิบเช่นนี้ตั้งแต่กลับมา และจนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกของเขาก็ยังไม่คลายลงเลยแม้แต่น้อย
เขานั่งลงบนที่นั่งของเขา ใบหน้าซีดเซียว มือกำหมัดแน่น เส้นเลือดที่หลังมือปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
แต่เขาก็ยังพออดทนไว้ได้
เพราะผู้คนที่จะสามารถมายังสถานที่แห่งนี้ได้ล้วนไม่ธรรมดา
ถึงมันไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย และเขาแค่ไม่อยากรุกรานใคร
ในขณะนี้ เสียงการประกาศแจ้งเตือนได้ดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าสำนักชงซูเก๋อมาถึงแล้ว…”
ภายในห้องโถงเงียบลงทันใด และทุกคนต่างหันไปมองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
พวกเขาเป็นผู้รอบรู้เรื่องราวและข่าวคราวมากที่สุดในเมืองซีหลิง และพวกเขาต่างรู้ว่าศิษย์สามคนของสำนักชงซูเก๋อยังคงไร้ซึ่งข่าวคราว
ปกติแล้ว ทุกคนจะเข้าใจว่าพวกเขาทั้งหมดต่างสิ้นชีพในแดนภังคะไปโดยปริยาย
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักชงซูเก๋อนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของเขาเป็นหนึ่งในผู้ได้ครองตำแหน่งสี่สำนักผู้ยิ่งใหญ่
ทุกคนต่างคิดว่า การที่มีฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวให้คอยพึ่งพิง จะทำให้สถานการณ์ในสำนักชงซูเก๋อจะค่อยๆ ดีขึ้น
กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เดินทางไปยังแดนภังคะ ผู้คนทั้งหมดนั้นได้หายสาบสูญไร้ซึ่งร่องรอย
ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ของสำนักชงซูเก๋ออย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่ทว่า สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน กลับเป็นท่าทีของอวี้ฉือซงที่เงียบสงบอย่างมาก ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียศิษย์ของเขาเลยแม้แต่น้อย
อวี้ฉือซงเผชิญหน้ากับสายตาทุกคน พลางค่อยๆ เดินเข้ามาและทักทายผู้คน จากนั้นก็นั่งลงบนที่นั่งของตน
เมื่อเห็นเขาสงบเยือกเย็นเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนเหล่านั้นแทบไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับอย่างใด
นี่มัน…เขาไม่น่าจะไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกกระมัง?
ซ่งหลวนจากที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น
“ท่านเจ้าสำนักอวี้ฉือ ข้าได้ยินมาว่าในสำนักของท่าน ศิษย์สามคนที่ไปแดนภังคะยังไม่กลับมามิใช่หรือ? ท่าน…ควรจะแสดงความเสียใจบ้างนะ!”
หลังจากสิ้นเสียงดังกล่าว บรรยากาศทั้งหมดก็หยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง!
อวี้ฉือซงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังซ่งหลวนอย่างสงบและเย็นชา
“เหตุใด เจ้าอยากมาร้องไห้หน้าหลุมศพอย่างนั้นหรือ?”