ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 782 เจ็บ
ตอนที่ 782 เจ็บ
ณ พระราชวังเทียนลิ่ง
ตำหนักฮวาหยาง
ซั่งกวนหว่านอยู่ในอ้อมแขนของเจียงอวี่เฉิง สองมือของนางจับยึดแขนเขาไว้แน่น ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายหวังเพื่อต่อชีวิต
“… อวี่เฉิง เจ้าช่วยข้าทีเถอะ ช่วยข้าด้วย… มีแค่เจ้าที่ช่วยข้าได้…”
นางกระอักเลือดออกมาไม่หยุด พร้อมเอ่ยเสียงแหบแห้งอย่างหมดหวัง อย่างกับสัมภเวสีขอส่วนบุญก็มิปาน
เจียงอวี่เฉิงไม่เคยเห็นซั่งกวนหว่านตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน
เขาระงับความรังเกียจในใจไว้ และพยายามผลักนางออกไปเล็กน้อย
แต่ซั่งกวนหว่านกอดเขาไว้แน่นมาก และไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลย
ซึ่งเจียงอวี่เฉิงกลัวว่าหากเขาผลักนางแรงกว่านี้ อาจจะทำให้นางขุ่นเคืองใจได้ เขาจึงจำต้องอดทนไม่หุนหันพลันแล่น
เขาจ้องมองคลื่นแสงที่เคลื่อนตัวอยู่ใต้ผิวหนังของซั่งกวนหว่าน แล้วขมวดคิ้ว
“สรุปแล้วเจ้าไปก่อเรื่องอันใดมากันแน่?”
เดิมที่เขานึกว่าตอนที่นางซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน นางเป็นคนจัดการคนเหล่านั้นด้วยกำลังของนางเอง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะยืมพลังของรากไม้มาใช้เสียได้
เมื่อคิดถึงภาพหยางซิ่นเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้เลือกพลีชีพด้วยการระเบิดร่างตัวเอง และร่างเน่าๆ เลอะๆ โชกเลือด ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแล้ว สีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้นมาทันที
“ตอนนั้น เจ้าเป็นคนฆ่าหยางซิ่นเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
ซั่งกวนหว่านรู้สึกผิดมาก พลันหลบสายตาเขา
“ข้า… ข้าแค่ขอยืมพลังของนางนิดหน่อย…แต่ ข้าไม่รู้เรื่องรากต้นไม้นั่นเลยนะ…”
สำหรับเจียงอวี่เฉิงแล้ว การที่ซั่งกวนหว่านจัดการหยางซิ่นเอ๋อร์ในซีหลิงนั้น เป็นเรื่องที่โง่เขลายิ่งนัก!
มีสายตานับร้อยคนที่มองไม่เห็น และมองเห็น คอยจ้องจับผิดนางอยู่ตลอดเวลา!
ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมา อย่าว่าแต่ตำแหน่งที่สูงกว่า แม้แต่ตำแหน่งองค์หญิงสาม ก็เกรงว่าจะปกป้องเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้หยางซิ่นเอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จักต้องไปคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก
ทว่าสภาพของซั่งกวนหว่านในตอนนี้ หากคนนอกเห็นเข้า ก็คงพานให้นึกถึงหยางซิ่นเอ๋อร์ขึ้นมาแน่ๆ
ฉะนั้นไม่ว่าอย่างใด เขาจะต้องแก้ปัญหาของซั่งกวนหว่านในตอนนี้ให้ได้เสียก่อน
เจียงอวี่เฉิงกลั่นหายใจ ก่อนจะมองซั่งกวนหว่านด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ลุกขึ้นมาก่อน แล้วยื่นมือมาให้ข้า”
เมื่อซั่งกวนหว่านได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางก็แพรวพราวขึ้นมาทันที พลางพยายามลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเขา แล้วยื่นมือออกไป
เจียงอวี่เฉิงปรายตามอง ก่อนจะเห็นมือผอมแห้งเหมือนโครงกระดูก ที่ยังคงเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเลอะเทอะน่าขยะแขยง
เจียงอวี่เฉิงอดทนอดกลั้น แล้วยื่นมืออกไปจับมือของนางช้าๆ จากนั้นพลังปราณดั้งเดิมก็พุ่งพล่านไปรอบตัวเขา
ขณะเดียวกัน ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ถูกกลืนกินราวกับมีม่านหมอกสีดำอยู่ข้างในนั้น กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างถูกย้อมเป็นสีดำสนิท
แม้แต่ตาขาวก็กลายเป็นสีดำมืด
เมื่อมองแวบแรกมันดูราวกับหลุมดำที่สามารถดูดกลืนได้ทุกสิ่ง
พลังปราณดั้งเดิมเริ่มหลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของซั่งกวนหว่าน
ชีพจรเดิมส่วนใหญ่ในร่างกายของนางได้รับการซ่อมแซมบ้างแล้ว ดังนั้นการถ่ายโอนพลังปราณในครานี้จึงถือว่าราบรื่นดี
เช่นเดียวกับแสงสีเขียวเข้มที่กำลังไหลมารวมกันบริเวณไหล่ของนาง
เจียงอวี่เฉิงควบคุมความแข็งแกร่งของตน และเขยิบเข้าใกล้ทีละน้อย
บนใบหน้าของซั่งกวนหว่านปรากฏร่องรอยของความเจ็บปวดออกมา
ไม่ว่าคลื่นพลังของเจียงอวี่เฉิงจะเคลื่อนที่ไปทิศทางใด มันก็จะทิ้งร่องรอยที่แสนเจ็บปวดราวถูกมีดกรีดแทงเอาไว้
หากยามนี้มีคนนอกโผล่เข้ามา พวกเขาจักต้องตกใจ เมื่อพบว่าพลังปราณดั้งเดิมที่เจียงอวี่เฉิงปล่อยออกไปนั้นแข็งแกร่งกว่าสถานะในปัจจุบันของเขาอย่างเห็นได้ชัด!
พูดตามหลักแล้ว นี่ย่อมไม่ใช่พลังปราณเที่ยงแท้ที่มาจากตัวเขาเองแน่ๆ
แต่ดูเหมือนซั่งกวนหว่านจะรู้อยู่ก่อนแล้ว และมิได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด กลับกัน นางยอมอดทนต่อไปเพื่อให้รอดชีวิต
เมื่อพลังนั่นหลั่งไหลเข้ามาที่ไหล่ของซั่งกวนหว่าน มันก็สู้กับกลุ่มแสงสีเขียวในกายนาง พลันระเบิดตูม!
ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของซั่งกวนหว่านสั่นเทา พร้อมเศษเนื้อและเลือดที่กระเด็นออกมาจากไหล่ของนาง!
“อ๊า…”
นางสติหลุดไปพักหนึ่งจากการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ก่อนที่อาการตื่นตระหนกและความกลัว จะพวยพุ่งขึ้นมาในใจอย่างเร็ว!
หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดอันรุนแรงก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง!
ซั่งกวนหว่านเจ็บปวดจนหน้าซีดเผือด และเกือบจะเป็นลม
เจียงอวี่เฉิงที่อยู่ใกล้ๆ เองก็ตกใจ
การระเบิดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้หรือหลบหลีก ก่อนจะถูกกระแสลมปราณที่รุนแรงกระแทกใส่ร่างเต็มๆ!
ทรวงอกของเขาสั่นสะท้าน กลิ่นคาวเลือดกระจายออกมาคละคลุ้งเต็มไปทั่วริมฝีปากและซอกฟัน!
แต่เขาไม่มีเวลากังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตัวเอง พลันเงยหน้าขึ้นมองทันที!
ซั่งกวนหว่านล้มลงกับพื้น ไหล่ซ้ายของนางเน่าเฟะไปหมดและเต็มไปด้วยคราบเลือด!
ถ้าช้ากว่านี้ แขนของนางได้เละจนใช้การไม่ได้แน่!
และกลุ่มแสงสีเขียวเข้มนั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
เจียงอวี่เฉิงยังคงตกใจไม่หาย หัวใจของเขาเต้นแรงราวจะทะลุออกมา
เมื่อครู่นี้มัน… เกิดอันใดขึ้น!?
ทว่าเสียงครวญครางอันเจ็บปวดของซั่งกวนหว่าน กลับช่วยดึงสติของเจียงอวี่เฉิง
เขาระงับการหมุนเวียนของเลือดภายในช่องอก แล้วสาวเท้าไปหาซั่งกวนหว่าน
ซั่งกวนหว่านนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด แต่ดูเหมือนว่าพลังปราณที่ถูกชิงไปก่อนหน้านี้ จะกลับมาแล้วบางส่วน
ร่างกายที่แต่เดิมผอมแห้งเหลือเพียงโครงกระดูก ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย
แม้เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว นางจะยังดูผอมลง แต่มันก็ดีกว่าสภาพที่เหมือนโครงกระดูกมากโข
ในหัวของซั่งกวนหว่านเป็นสีขาวโพลน นางมองไปข้างหน้า แล้วเห็นเจียงอวี่เฉิงที่กำลังขยับปากพูด ทว่าไร้ซึ่งเสียงเอื้อนเอ่ย
เจียงอวี่เฉิงย่นคิ้ว
สภาพของซั่งกวนหว่านในตอนนี้ ไม่สามารถออกไปพบปะผู้คนได้แน่นอน
ทว่ายังมีคนหลายคนรออยู่ที่ตำหนักหมิงฮวา แถมยังเป็นคนสำคัญที่ผิดนัดไม่ได้เสียด้วย
เขาหยิบขวดหยกออกมาและเทยาออกมาสองเม็ด
เม็ดหนึ่งสำหรับเขา และอีกเม็ดสำหรับนาง
“ยานี่มีไว้เพื่อช่วยปรับสมดุลลมปราณและโลหิต เจ้ารับไว้เสีย แต่ตอนนี้สภาพร่างกายของเจ้านั้น คงไม่สามารถเดินทางไปที่ตำหนักหมิงฮวาได้ ประเดี๋ยวอีกสักพักฉานอี้จะเข้ามาดูแลเจ้า และข้าจะวานจั่วหมิงซีเข้าวังมาตรวจดูอาการบาดเจ็บให้เจ้าอีกที จะได้ไม่มีปัญหาอื่นใดตามมา”
ซั่งกวนหว่านได้แต่อ้าปากพะงาบมองเขาตาละห้อย
“ส่วนข้าจะเป็นคนจัดการทางฝั่งตำหนักหมิงฮวาเอง ข้าจะแจ้งพวกเขาว่า เจ้าได้รับบาดเจ็บขณะนำโอสถมาถวายฝ่าบาท และตอนนี้เจ้าจำต้องพักฟื้น”
เจียงอวี่เฉิงตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันน้อยนิด
ซั่งกวนหว่านลังเล ต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็จำยอมพยักหน้าตอบกลับไปว่าเป็นอันตกลง
นางเองก็รู้ดีว่า สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ มีเพียงแค่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
จากนั้นเจียงอวี่เฉิงก็หมุนตัวเดินออกไป
ซั่งกวนหว่านหลับตาด้วยความสิ้นหวังและไม่พอใจ
นางสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังปราณที่สั่งสมมาด้วยความยากลำบากนั้น ได้ถูกความเจ็บปวดเมื่อครู่ทำลายไปเสียมากมาย!
นางแค่ต้องการฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของตัวเอง และกลับมาเป็นคนที่แข็งแกร่งอีกครั้ง แล้วเหตุใดมันถึงยากเย็นเพียงนี้!?
เจ้าแสงนั่น… ตกลงแล้วมันคือเรื่องอันใดกันแน่?!
…
หลังจากที่เจียงอวี่เฉิงแจ้งเรื่องซั่งกวนหว่านให้กับฉานอี้แล้ว เขาก็กลับไปที่ตำหนักหมิงฮวา
ทุกคนคิดว่าคราวนี้เจียงอวี่เฉิงจะมาพร้อมซั่งกวนหว่าน แต่สุดท้ายพวกเขาก็เห็นแค่เจียงอวี่เฉิงผู้เดียว จึงอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันอย่างสงสัยใคร่รู้
เจียงอวี่เฉิงก้าวเท้าไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น พร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“เกรงว่าวันนี้องค์หญิงสามจะมาไม่ได้แล้ว นางได้รับบาดเจ็บจากการค้นหาวัตถุดิบยาให้ฝ่าบาท และตอนนี้นางจำต้องนอนพักอยู่บนเตียงสองสามวัน ทุกท่านโปรดยกโทษให้ทางเราด้วย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เจี่ยนชูเย่ก็โพล่งถามขึ้นมาว่า
“ไม่ทราบว่ามันคือวัตถุดิบยาชนิดใดหรือ ถึงได้ทำให้องค์หญิงสามยอมเสี่ยงชีวิตเช่นนั้น?”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง
“บัวระบำ!”