ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 798 บาดแผลที่รักษาไม่หายขาด
ตอนที่ 798 บาดแผลที่รักษาไม่หายขาด
ณ ป่าหมอกมายา
สิงโตขาวตัวหนึ่งกำลังทรงตัวอยู่กลางอากาศ… ลอยไปลอยมาอย่างสงบเสงี่ยม
พวกฉินอีล้วนพากันเงยศีรษะมองดูมัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง พี่เหลยสี่ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“พี่ใหญ่ สรุปแล้วเจ้านี่เป็นสัตว์อสูรประเภทใดกันแน่? ที่มันลอยตัวอยู่ด้านบนแบบนั้นด้วยเพราะเรื่องอันใดกันหรือ?”
คราแรกคิดไว้ว่ามันจะพุ่งตัวลงมาหา กลับกลายเป็นว่าหลังจากที่มันบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบนสองรอบ มันก็หยุดอยู่ตรงนั้น
ไม่จากไป แต่ก็ไม่ลงมา
นี่ทำให้บรรดาคนข้างล่างที่กำลังมองอยู่ต่างมีสีหน้างงงวย
ฉินอีเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ก่อนนี้เขารู้สึกได้ว่าภายในป่าหมอกมายามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ จากนั้นเจ้าสิงโตขาวตัวนี้ก็ปรากฏขึ้น
หลังจากที่มันหยุดลงกลางอากาศแล้ว รอบข้างก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอันใดอีก
เบื้องต้นก็มั่นใจได้แล้วว่า การสั่นไหวเมื่อครู่เป็นเพราะการมาถึงของมัน
เพียงแต่ว่า… พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเจ้านี่เป็นสัตว์อสูรประเภทใด อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเหตุใดมาถึงแล้วกลับไม่ลงมือทำอันใดเลย
แต่เมื่อดูจากรูปการณ์ตอนนี้แล้ว มันดูไม่มีเจตนาคิดฆ่าฟันกัน เช่นนั้นก็ไม่ควรรีบร้อนติดต่อพวกเขาเหล่านั้น
“ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจมัน”
ฉินอีเอ่ย
ต่อให้เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงต้องจับตาดูไว้อย่างระมัดระวัง
พี่เหลยสี่เกาหัวแกรก เอ่ยด้วยเสียงกระซิบ
“รูปร่างลักษณะก็ดูจะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ สิงโตขาว… แต่เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินว่า…”
เย่หรานหร่านได้ยินคำพูดเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า
“พี่เหลยสี่ นั่นคือ…สิงโตขาวหรือ? แต่บนตัวมันดูจะเป็นสีเหลืองนะ?”
เสวี่ยเสวี่ยที่ถูกเจ้านายขัดขวางไม่ให้ออกไปข้างนอก ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น จะเข้าก็ไม่ได้ถอยก็ไม่สามารถทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายของตนอยู่ลับๆ
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในใจพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง หงุดหงิดเหลือเกินที่ไม่สามารถหนีออกไปได้ในทันที!
น่าอับอายยิ่งนัก!
เดิมทีขนสีขาวอันงดงามสมบูรณ์แบบราวหิมะ บัดนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยทรายเหลืองไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น จนขนเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองสกปรก!
เสวี่ยเสวี่ยคำรามออกมาอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง
“กรร…”
ในตอนนั้นเอง ทั่วทั้งผืนป่าก็สั่นสะเทือน!
เพียงแต่ว่าบรรดาคนที่อยู่ด้านล่างกลับไม่ได้รับผลกระทบอันใดมาก
เย่หรานหร่านตกใจอย่างมาก ผลุบไปดึงชายเสื้อของมู่หงอวี่เอาไว้
“หงอวี่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าจู่ๆ มันก็โกรธข้าขึ้นมาเล่า…”
“เดิมทีมันเป็นสิงโตขาว ดูท่าคงมาจากทะเลทรายสีชาด จึงมีสภาพเป็นแบบนี้ เมื่อครู่เจ้าพูดเช่นนั้น มันย่อมได้ยินเข้า แน่นอนว่ามันคงไม่ชอบใจนัก”
ฉินอีหันกลับมามองแล้วพูดอธิบาย
”อย่าลืมสิว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์มีสติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์ได้เลย”
เย่หรานหร่านหดคอลง
“ที่แท้อสูรศักดิ์สิทธิ์เองก็ใส่ใจเรื่องคำพูดเช่นกัน…”
มู่หงอวี่ลูบไหล่ของนางอย่างปลอบประโลม
“วางใจเถอะ หรานหร่าน ข้าดูแล้ว มันคงไม่คิดร้ายอันใดต่อพวกเราหรอก!”
แม้ว่ามันจะคำรามไปคำรบหนึ่ง ทว่าพวกเขากลับไม่ได้สัมผัสถึงการแผ่กระจายของพลังแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันตั้งใจยับยั้งไว้
ใจของเย่หรานหร่านจึงค่อยสงบลงได้บ้าง
ทันใดนั้น เชียงหว่านโจวพลันผุดลุกขึ้น!
การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก แม้ว่าจะดูรีบร้อนไปบ้าง แต่ก็ดึงความสนใจของคนมาที่ตนได้ในครั้งเดียว
ฉินอีเหมือนว่าจะเดาอันใดบางอย่างออก
“มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
นัยน์ตาของเชียงหว่านโจวราวกับว่ามีดวงดาวส่องประกายอยู่ข้างใน
“ข้าว่า คงใกล้ได้เวลาที่นางจะออกมาแล้ว”
…
ณ เมืองซีหลิง
ตำหนักฮวาหยาง พระราชวัง
ซั่งกวนหว่านเอนกายอยู่บนเตียง ด้านข้างมีฉานอี้ที่นั่งคุกเข่าคอยป้อนยาให้นาง
“องค์หญิง นี่เป็นยาชุดสุดท้ายของวันนี้แล้ว ดื่มเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ฉานอีเอ่ยพลางใช้ช้อนตักยาขึ้นมาทีละนิดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็จ่อที่ริมฝีปากของซั่งกวนหว่าน
ซั่งกวนหว่านริมฝีปากซีดเซียว รับยาเข้าปากอย่างอ่อนแรง
หลังดื่มไปได้อึกหนึ่ง คิ้วโก่งอันเรียวบางของนางพลันขมวดแน่น รสชาติขมปร่าปนคาวหวานพวยพุ่งขึ้นมาจนนางเกือบสำลัก
นางอดทนกลืนยาช้อนนี้ลงไป ภายในท้องพลันปั่นป่วนรุนแรงอีกครั้งจนนางแทบอาเจียนออกมา!
ทว่าท้ายที่สุด นางก็ยังสามารถทนไหว
ฉานอี้เองไม่กล้าเอ่ยอันใดมาก ยังคงป้อนยาต่อไปด้วยความระมัดระวัง
กระทั่งป้อนยาถ้วยนี้เสร็จ หน้าผากของฉานอี้ก็เคลือบไปด้วยเม็ดเหงื่อละเอียดแล้ว
นางรีบเก็บของอย่างรวดเร็ว ก่อนจะฉีกยิ้มเอาใจ
“ใต้เท้าจั่วบอกว่าร่างกายของท่านดีขึ้นมากแล้ว วันนี้หลังจากรับยาชุดนี้ไป พรุ่งนี้มาถึง ได้เปลี่ยนยาแล้ว เพียงแค่พักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายของท่านจะต้องกลับมาดีขึ้นทันตาเห็นแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนหว่านได้ยินคำพูดเช่นนั้น ทว่านางกลับดูไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
ภายในนัยน์ตาของนางค่อยๆ ปรากฏแววเหน็บแนมขึ้นมา
มือของนางลูบไล้บนใบหน้าของตนอย่างเชื่องช้าพลางถามด้วยเสียงนุ่ม
“แล้วเขาได้บอกหรือไม่ว่าบาดแผลบนใบหน้าของข้านี้ เมื่อไรจะหายดี?”
ฉานอี้หลุบตาลงต่ำ
“คือ…ใต้เท้าจั่วบอกว่าบาดแผลบนใบหน้าท่านค่อนข้างจัดการยาก ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย…”
ซั่งกวนหว่านแค่นหัวเราะเย็นเยียบครั้งหนึ่ง
“พวกเจ้าเห็นข้าเป็นตัวโง่งมกันจริงๆ สินะ?”
ฉานอี้ชะงัก
“องค์หญิง ท่านมีโชควาสนาลึกล้ำ ย่อมต้องมีหนทางแน่นอน…”
“เจ้าออกไปเถอะ”
ซั่งกวนหว่านหน่ายที่จะฟังคำเอ่ยจำพวกนี้แล้ว นางโบกมือไล่อย่างรำคาญใจ
ฉานอี้จึงจำต้องขอตัว
“เช่นนั้นบ่าวจะคอยอยู่ด้านนอก หากท่านมีเรื่องอันใด สามารถเรียกใช้บ่าวได้เลยเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ ก็คำนับหนึ่งทีแล้วก้าวถอยออกไป
ทันทีที่บานประตูปิดลง สีหน้าของซั่งกวนหว่านพลันปรากฏความเย็นชาและความโกรธเคืองออกมา
แท้จริงแล้วในตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผล แทบไม่มีส่วนไหนเลยที่จะสามารถเผยความรู้สึกออกมาได้
นางเองก็ไม่กล้าทำอันใดบุ่มบ่ามตามใจตน ด้วยกลัวว่าจะทำให้บาดแผลที่ตกสะเก็ดอย่างรุนแรงบนใบหน้านั้นฉีกขาด
ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลล้วนแสดงออกผ่านสายตาได้เท่านั้น
หลายวันมานี้ที่ได้กลับมาซีหลิง นางก็ตกอยู่ในสภาพอยู่ไม่สู้ตายไปโดยปริยาย!
วันนั้น หลังจากที่ต้องประสบกับความเจ็บปวดทางกาย ร่างกายของนางก็บาดเจ็บสาหัส ทำให้ในตอนนี้นางทำได้เพียงเอนกายพักฟื้นบนเตียงเท่านั้น
พลังปราณภายในร่างกายสูญสลายไปไม่น้อย ทว่าโชคยังดีที่เส้นลมปราณของนางได้รับการรักษาอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงมิได้รับความเสียหายอันใด
นี่พอทำให้ใจของซั่งกวนหว่านสงบลงไปได้บ้าง
ทว่าในท้ายที่สุด นางกลับค้นพบเรื่องหนึ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า…บาดแผลบนใบหน้าของนางดูเหมือนจะรุนแรงกว่าปกติมากกว่าเดิม!
ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ลองยาตัวใด ก็ล้วนไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอันใดเลย
ทุกครั้งที่นางคิดว่าแผลกำลังจะหายดี มันก็มักจะกลับมาเปื่อยเน่าอย่างหาสาเหตุมิได้!
หากเกิดเรื่องนี้เช่นนี้ซ้ำซากต่อไปเรื่อยๆ ใบหน้าของนางจะไร้หนทางรักษาโดยสิ้นเชิง
นั่นแปลว่านางจะทำได้เพียงมุดหัวหลบอยู่ในนี้ ไม่สามารถออกไปพบเจอผู้คนได้อีก
ในใจของซั่งกวนหว่านทั้งโกรธแค้นทั้งหวาดกลัว
หากใบหน้าของนางไม่มีทางดีขึ้นจริงๆ แล้วล่ะก็… เช่นนั้นต่อจากนี้จะทำเช่นไร?
ตอนนี้ยังคงยืดเวลาได้สักพัก ทว่าภายหลังอย่างใดก็ต้องออกไปปรากฏตัว!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันอภิเษกสมรสของนางกับเจียงอวี่เฉิงกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
วันอภิเษกสมรสวันนั้น นางยังต้องพบปะขุนนางทหารและพลเรือนอีก…
“ก๊อกๆ”
พลันเสียงเคาะประตูที่ฟังดูรีบร้อนอยู่บ้างก็ดังขึ้น!
“องค์หญิง บ่าวมีเรื่องมารายงานเจ้าค่ะ”
ยามนี้แล้วจะมีเรื่องอันใดได้อีก?
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้ว
“เข้ามา”
ฉานอี้ผลักประตูเปิดออก จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างเร็วรี่
บนดวงหน้าของนาง สีหน้านั้นออกจะลึกลับอยู่บ้าง
ทันทีที่ก้าวมาถึงหน้าเตียงของซั่งกวนหว่าน นางพลันคุกเข่าลง
“องค์หญิง ขบวนของราชบุตรเขยกลับมากันแล้วเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนหว่านพลันตื่นตระหนก
“เหตุใดถึงเร็วปานนี้!?”
นี่ไปกันนานเท่าไรแล้ว? ไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำกระมัง?
หรือว่าพวกเขาจะนำบัวระบำกลับมาได้ราบรื่นปานนั้น?
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด?”
“ได้ยินมาว่าราชบุตรเขยได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้จึงกลับจวนตระกูลเจียงไปรักษาบาดแผลแล้ว ส่วนผู้อื่นนั้น… ตอนนี้กำลังรอท่านอยู่ที่ตำหนักหมิงฮวาเจ้าค่ะ”
ใจซั่งกวนหว่านดิ่งวูบลง นางเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“เช่นนั้นคงเอาบัวระบำคืนมาได้แล้วจริงๆ น่ะสิ?”