ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 816 นางรู้ได้อย่างใด
ตอนที่ 816 นางรู้ได้อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจ
นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ
โลกใบนี้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เมื่อครู่นางเอ่ยด้วยเสียงสุภาพอ่อนหวาน อีกฝ่ายกลับเฉยเมยไม่แยแส
พอนางไม่ทันระวังพลั้งปากพูดออกไป เขากลับรู้สึกดีเสียอย่างนั้น?
แม้การใช้คำว่า “หลั่งน้ำตาด้วยความปิติ” มาอธิบายถึงอีกฝ่ายจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ในสมองอันว่างเปล่าของฉู่หลิวเยว่ก็คิดคำอื่นไม่ออกแล้วเช่นกัน
“คือว่า…”
นางเปิดปากพูดขึ้นอย่างลังเล แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอันใดออกไปดี
พี่เป่า…
ฟังแล้วคงไม่ใช่ชื่อจริง เมื่อครู่ดูเจ้าหนุ่มนั่นตะโกนเรียกเขาเช่นนี้ สีหน้าเขาเองก็ดูไม่ค่อยดีนัก
ทว่าเมื่อนางเป็นคนเรียก เหตุใดเขาจึงดูมีความสุขถึงเพียงนั้นกัน?
“ข้าล่ะ ข้าล่ะ! นังหนู ยังมีข้าอีกนะ!”
ไม่รอให้ฉู่หลิวเยว่ได้พูดอันใด ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าที่อยู่ด้านข้างพลันโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทีที่คาดหวัง
นังหนูตะโกนเรียกต้าเป่าได้ ย่อมต้องเรียกชื่อพวกเขาออกมาได้เช่นกัน!
ถึงแม้ว่านางจะลืมพวกเขาไปแล้ว ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณบางอย่างหลงเหลืออยู่ ย่อมไม่หายสาปสูญไปหมดหรอกน่า!
หลานเซียวปรายตามองแวบหนึ่ง อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง เขาแค่นเสียงในลำคอเบาๆ
“โวยวายเป็นเด็กร้องขอลูกอมไปได้!”
หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้วล่ะก็ ตู๋กูโม่เป่าคงวิ่งไล่ตีหลานเซียวไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้สภาพอารมณ์ของเขาดีอย่างยิ่ง จึงไม่คิดเอาความอันใดกับหลานเซียว
เขาไม่แม้แต่จะมองหลานเซียวด้วยซ้ำ เขาตอบกลับไปประโยคหนึ่งอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“เวลาเจ้าทำตัวเอะอะโวยวาย ใครกันที่คอยหยุดเจ้า? หรือเจ้าจะลองดูหรือไม่ ว่านังหนูจะตะโกนเรียกเจ้าหรือไม่?”
หลานเซียวกัดฟันกรอด พยายามอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะสงบสติอารมณ์ของตนได้
“ข้าไม่ทะเลาะกับเด็กอมมือหรอกนะ!”
ดวงหน้านี้เป็นดวงหน้าที่เขาโปรดปรานมากที่สุด ไม่สามารถทำลายตามใจอยากได้
ไม่คุ้มค่า ช่างไม่คุ้มค่าเลยเสียจริง
บัดนี้ตู๋กูโม่เป่าไม่คิดโกรธเคืองหลานเซียวเลยแม้แต่น้อย
ใจของเขาในตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความพออกพอใจและความสุขีที่ล้นปรี่
แม้ว่าจะพยายามยับยั้งสุดความสามารถแล้ว ทว่ารอยยิ้มบริเวณหางตาก็ยังคงแผ่ออกมาอยู่ดี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามอันกระตือรือร้นของผู้อาวุโสลำดับห้า หางตาฉู่หลิวเยว่พลันกระตุก
ชื่อ… เรียกว่าอันใดกัน?
พี่เป่าสองอย่างนั้นหรือ!?
นางจำไม่ได้จริงๆ!
คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเหตุใดนางจึงตะโกนเรียกชื่อนั้นออกมา…
ตอนนี้ นางแน่ใจแล้วว่าครั้งหนึ่งตนเคยรู้จักคนเหล่านี้จริงๆ
ทว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างใดยังไม่รู้แน่ชัด
คนทั้งสามนี้พละกำลังแข็งแกร่งอย่างมาก ต่อให้เป็นนางที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุด เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ไม่มีค่าพอให้ปรายตามองเสียด้วยซ้ำ
โดยปกติแล้ว นางควรแสดงความเคารพนอบน้อมอย่างมากต่อพวกเขาถึงจะถูก
ทว่าสุ้มเสียงที่นางเอ่ยออกไปตอนนั้น นางทำไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ…
นางไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนกัน ถึงได้กล้าทำเช่นนั้น?
ผู้อาวุโสลำดับห้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอ่ยอันใดตอบก็เริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอยู่บ้าง
“นังหนู เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกทีนะ? ข้าเอง! ชื่อข้ามีสี่ตัว…”
“เขาคือผู้อาวุโสลำดับห้า”
ตู๋กูโม่เป่าพลันเอ่ยปากขึ้นมา
สีหน้าของผู้อาวุโสลำดับห้าพลันแข็งค้าง บริเวณหน้าผากมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาไม่หยุด
“พี่เป่า! เจ้าทำอันใดน่ะ!”
“ไม่เห็นหรือไรว่านางคิดไม่ออกแล้วน่ะ? จำชื่อข้าได้คนเดียวก็ไม่ง่ายแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงได้ตั้งเงื่อนไขสูงนัก? อีกอย่าง ชื่อข้ามีตั้งสี่ตัว ชื่อของเจ้านางก็ต้องจำได้แล้วหรือไม่ เหตุใดต้องมานึกย้อนอีก?”
ตู๋กูโม่เป่าชี้ไปทางหลานเซียว
“เขาคือ…”
“ข้าชื่อหลานเซียว!”
หลานเซียวตรงไปตรงมาอย่างมาก เขาเอ่ยชื่อของตนออกมาทันทีพลางกลอกตาใส่ตู๋กูโม่เป่าไปรอบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง…ตอนนี้ในบรรดาคนทั้งสาม เหลือชื่อของพี่เป่าที่นางยังไม่รู้…
นางรีบประมวลผลในทะเลความคิดอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าราชวงศ์เทียนลิ่งจะไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งที่มีนามเหล่านี้มาก่อน…
ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงคนเหล่านี้ได้เช่นกัน
เช่นนั้น… หากไม่ใช่คนของราชวงศ์เทียนลิ่ง คนเหล่านี้ก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายจากยุทธภพ
นางเรียกชื่อแต่ละคนตามลำดับด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม
หลานเซียวถอนหายใจออกมาแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ดูจากท่าทีของนางแล้ว ล้วนจำอันใดไม่ได้เลยจริงๆ
ประโยคนั้นที่โพล่งออกไปเมื่อครู่ คงนับว่าเป็นเพราะเหตุบังเอิญ
เฮ้อ ไม่ใช่แค่เจ้าเด็กอมมือนี่ส่งเสียงเอะอะดังที่สุด คราวนี้ก็มาเป็นนังหนูนี่เสียความทรงจำแล้วยังพูดออกมาแบบไม่รู้ตัวอีก
ผู้อาวุโสลำดับห้าถูกแย่งบทสนทนาไป ทว่านิสัยใจคอเขาอ่อนโยนเป็นทุนเดิม ดังนั้นจึงมิได้ติดใจเอาความอันใด
นังหนูกลับมาจำได้หน่อยหนึ่งถือว่าดีมากแล้ว!
ภายหลังจะต้องค่อยๆ กลับมาจำได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน!
เมื่อเห็นท่าทีของคนเหล่านี้ผ่อนคลายลงมากแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามว่า
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย…”
“ผู้อาวุโสอันใดกัน? เรียกพวกเราเหมือนอย่างที่เจ้าเคยเรียกก็พอแล้ว!”
หลานเซียวได้ยินนางเรียกเช่นนั้นแล้วไม่ชินหู เขาโบกมือไปมา
“เมื่อก่อนเจ้าเรียกเขาว่าพี่เป่า เรียกข้าว่าหลานเซียว แล้วก็เขา เจ้าเรียกว่าพี่ห้า”
แม้ว่าในใจฉู่หลิวเยว่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยมาเช่นนี้แล้ว นางก็ทำได้แค่ตามน้ำไป ผงกศีรษะอย่างน่ารักเป็นเชิงรับรู้
“พวกท่านคงจะดูออกแล้ว ข้าลืมเรื่องราวบางส่วนไปจริงๆ กระทั่งตัวตนของพวกท่าน พวกเรามาพบเจอกันได้อย่างใด ข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว…”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าหลานเซียวและคนอื่นล้วนฉลาดหลักแหลม ฟังดูก็รู้ว่านางต้องการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้า
“พวกเรา…”
หลานเซียวกำลังจะเริ่มเล่า พลันรู้สึกได้ถึงอันใดบางอย่างที่จ้องมองมาที่ตน
เมื่อเบนสายตาไปก็พบว่าสายตาของหรงซิวกำลังจดจ้องมาที่ตนอย่างหนักหน่วง
หลานเซียวพลันคิดถึงเรื่องที่หรงซิวได้พูดไว้ก่อนหน้านี้
…บัดนี้นังหนูเยว่เออร์จำเรื่องราวนอกเหนือจากราชวงศ์เทียนลิ่งไม่ได้โดยสิ้นเชิง หากรีบร้อนบอกข้อมูลกับนางโดยไม่ระวัง มันอาจส่งผลต่อความทรงจำและการฟื้นฟูของนางแทน
ทุกอย่างล้วนต้องนำต้องบอกอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงจะดีที่สุด
ลูกกระเดือกของหลานเซียวม้วนขึ้นลงครั้งหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้าเจ้าเด็กหรงซิวนี่ แต่ก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าเด็กนี่พูด
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนังหนู อันใดระวังได้ก็ควรระวัง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา
“พวกข้าล้วนเป็นคนร่อนเร่พเนจร สถานะอันใดไม่สำคัญ แต่ว่า ก่อนหน้านี้พวกเราได้มาพบกันที่แดนภังคะ”
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เบิกตากว้าง สีหน้าดูตื่นตกใจอยู่บ้าง
ที่แดนภังคะหรือ?
นางเคยไปแดนภังคะอยู่หลายครั้งทีเดียว ทว่ากลับไม่มีภาพของคนเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
แต่ถ้าหากมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ก่อนนี้นางคิดว่าความทรงจำของตนสมบูรณ์มาโดยตลอด หากมิใช่เพราะเรื่องราวที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกันเช่นนี้เป็นตัวพิสูจน์ว่านางสูญเสียความทรงจำไปบางส่วนจริงๆ แล้วล่ะก็ นางเกรงว่าตนไม่มีทางเชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน
เช่นนั้น อดีตที่มีร่วมกับคนเหล่านี้ ก็ควรจะสูญหายไปแล้วพร้อมกับความทรงจำส่วนนั้นของนาง
เห็นสีหน้าท่าทีตกตะลึงแลประหลาดใจของฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสลำดับห้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน
“ที่ทะเลทรายจันทราสีชาดนั่นปะไร! เมื่อก่อนมันเป็นที่ที่เจ้าชอบไปมากที่สุด! ไปแต่ละครั้งก็มักจะอยู่นานเลยทีเดียว!”
ทะเลทรายจันทราสีชาดหรือ…
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
ในความทรงจำ ทะเลทรายจันทราสีชาดดูเป็นสถานที่ที่นางไปน้อยที่สุด
ทว่าพวกเขากลับเอ่ยว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางชอบไปบ่อยที่สุด…
“เช่นนั้น…”
ฉู่หลิวเยว่คิดจะเอ่ยถามอย่างละเอียด ทว่าตู๋กูโม่เป่าพลันเงยศีรษะขึ้นมามองเสียก่อน
“จวนได้เวลาแล้ว”
สีหน้าของหลานเซียวและผู้อาวุโสลำดับห้าพลันเปลี่ยนไป
“เหตุใดจึงได้เร็วนัก?”
หลานเซียวย่นหัวคิ้ว
พวกเขาออกมากันนานขนาดนี้แล้วหรือ?
ยังไม่ทันได้พูดประโยคที่สองกับนังหนูเลย ก็ต้องไปแล้วหรือ?
จากกันครั้งนี้ก็ต้องรออีกหนึ่งเดือนเชียวนะ!
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“เวลาอันใดหรือ?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าตอบโดยไม่รู้ตัว
“เวลาที่พวกเราสมควรจะกลับไปแล้วน่ะซี”
กลับไป?
กลับ… ทะเลทรายจันทราสีชาดน่ะหรือ?
ฉู่หลิวเยว่มิได้ถามอันใดออกไป ทว่าในใจกลับคิดถึงคำตอบนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นางชะงัก
แล้วนางรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างใดกัน?