ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 834 เยว่เอ๋อกลับมาแล้ว
ตอนที่ 834 เยว่เอ๋อกลับมาแล้ว
วังหลวง ยามค่ำคืน
เงาสายหนึ่งผ่านไปทางตำหนักฮวาหยางอย่างรวดเร็วราวกับผี
การกระทำไร้เสียง ไม่มีแม้แต่ลมปราณที่แผ่กระจายออกมาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของทหารยาม
แสงจันทร์ส่องสว่าง ค่ำคืนเงียบสงบราวกับสายน้ำ รอบข้างเงียบสนิท
เงียบมากเสียจนทำให้ ซั่งกวนหว่านสามารถได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นอย่างบ้าคลั่ง!
นางลูบหน้าอกของตัวเอง ร่างกายแนบเข้ากับประตู เลือดทั่วทั้งร่างกายเหมือนจะแข็งตัวลงในทันที ทำให้มีกระแสไอเย็นแผ่กระจายออกมา แขนขาทั้งสี่แข็งอย่างมาก
นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ดวงตาเบิกกว้าง แววตาเส้นเลือดแตกฝอยอยู่บางส่วน หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ริมฝีปากขาวซีด
หากมีใครมาเห็นนางในตอนนี้ ก็ต้องนึกว่าเจอผีอย่างแน่นอน อีกทั้งภายในสมองของนางก็ขาวโพลน
เมื่อกี้…
เมื่อกี้…
“อยู่ที่โอกาสของเจ้าแล้ว”
เสียงแหบพร่าเย็นชาดังขึ้นที่ข้างหูของนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“แค่เอาชีพจรของคนคนนั้นมาเท่านั้นเองหรือ? ไม่มีประโยชน์”
ซั่งกวนหว่านกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก พยายามกดความหวาดกลัวที่อยู่ในใจลง แต่ทว่ามันทำไม่ได้
ภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำ มันเล่าซ้ำไปซ้ำมา!
นางเองก็นับว่าตัวเองเป็นคนที่ลงมือโหดเหี้ยม หลายปีที่ผ่านมา ที่นางทำมาก็เพื่อวันนี้ ใช่ว่านางไม่เคยใช้วิธีออกนอกลู่นอกทางเลย?
แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในป่าหมอกมายา นางก็จัดการคนเหล่านั้นทั้งหมด โดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
แต่ว่า…
ต่อให้นางเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้มีความหวาดกลัวพวยพุ่งออกมาไม่ได้
“ข้า ข้าไม่…อ้วก!”
ซั่งกวนหว่านต้องการจะแก้ต่างให้ตัวเองสักสองสามประโยค แต่ทันทีที่เปิดปากออกมา กลิ่นคาวเลือดก็โชยขึ้นจมูก จนเกือบจะอ้วกออกมาด้วยแล้ว!
นางก้มตัวลง พร้อมขย้อนของเสียออกมาจากกระเพาะ ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา จนสุดท้ายนางก็มีอาการดีขึ้น
เพียงแต่ร่างกายของนางกำลังจะหมดแรงและค่อยๆ ทรุดลงไปที่พื้น
ถ้าไม่ใช่ว่านางได้กางม่านพลังเอาไว้แล้ว การเคลื่อนไหวเหล่านั้นจะต้องดึงดูดความสนใจของคนอื่นอย่างแน่นอน…
ทันใดนั้นที่ข้างหูของนางก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น
“นี่เพิ่งวันแรกเท่านั้น เจ้าก็เป็นขนาดนี้แล้ว ข้าว่าเจ้าไม่ต้องทำต่อแล้วละมั้ง?”
“ไม่เจ้าค่ะๆ”
ซั่งกวนหว่านรีบตะโกนตอบทันที
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ! ข้าสามารถทำต่อได้! ท่านให้ข้าทำอันใด ข้าจะทำอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเจ้าควรทำอย่างใด?”
เขาทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้เช่นนั้น จากนั้นก็หายตัวไป
ซั่งกวนหว่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กว่าจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ความหวาดกลัวที่อยู่ในแววตาก็ค่อยๆ หายไป เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่ชั่วร้ายค่อยๆ ปรากฏขึ้น!
กว่านางจะเดินมาสู่จุดนี้ได้ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขวางทางได้ทั้งนั้น!
นางระงับอาการคลื่นไส้ลง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ สองมือวางไว้ที่หน้าตัก นางหลับตาแล้วค่อยๆ ดูดกลืนชีพจรที่ได้กลืนกินมาวันนี้
แสงจันทร์จางๆ ส่องกระทบลงมา คราบเลือดทั้งสองมือของนางแห้งกรังไปหมด เนื้อใต้เล็บเหมือนถูกขูดออกมาทั้งหมด ดูน่าอนาถอย่างมาก
อักขระยันต์สีดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ระหว่างคิ้วของนาง
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ที่สำนักหลิงอวิ๋นจงก็มีข่าวประกาศออกมา ว่ามีศิษย์คนหนึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ประเด็นสำคัญก็คือ ศิษย์คนนี้เป็นศิษย์ใหม่ที่มีชีพจรตี้จิงและมีพรสวรรค์อย่างมาก
สำนักหลิงอวิ๋นจงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับหุบเขาเขี้ยวมังกร อัจฉริยะชีพจรตี้จิงของสำนักเขานั้นมีจำนวนไม่มาก ดังนั้นเมื่อหายสาบสูญไปหนึ่งคน ก็ทำให้สำนักเกิดความวุ่นวายได้ทันที
แต่ในเมืองซีหลิงนั้นมีสำนักเรียนจำนวนเยอะมาก และสำนักหลิงอวิ๋นจงก็ไม่ได้เป็นสำนักที่เด่นดัง เมื่อศิษย์หายไปคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนมากนัก
…เขาอาจจะหนีออกไปเองก็ได้ หรือว่าบางทีอาจจะมีเรื่องบางอย่างทำให้เกิดความล่าช้าแค่เล็กน้อย?
แม้แต่คนของสำนักหลิงอวิ๋นจงเอง ก็ยังมองโลกในแง่ดี คิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะสามารถหาลูกศิษย์คนนั้นเจอแล้ว
แต่ว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ เลย
คนของสำนักหลิงอวิ๋นจงเองก็รู้สึกว่ามันผิดปกติแล้ว ดังนั้นจึงรีบรวบรวมกำลังพล และเริ่มค้นหาลูกศิษย์ผู้นั้นจนทั่ว
แต่ทว่าก็ยังคว้าน้ำเหลว
เหมือนว่าลูกศิษย์น่าจะหายไปจากโลกใบนี้แล้ว!
แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ หนึ่งวันหลังจากนั้นศิษย์สำนักหลิงอวิ๋นจงก็หายตัวไปอีกแล้ว
อีกทั้ง…คราวนี้ก็เป็นศิษย์ที่มีชีพจรตี้จิงเช่นเดิม!
คนเดียวอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่สองคนจะต้องเป็นเรื่องตั้งใจอย่างแน่นอน
ในเมืองซีหลิงก็เกิดการถกเถียงกันขึ้น และต่างสงสัยว่าสำนักหลิงอวิ๋นจงได้ไปล่วงเกินใครเอาไว้หรือไม่ ถึงเกิดการแก้แค้นเช่นนี้
อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็เลือกลงมือกับอัจฉริยะของสำนักทั้งนั้นเลยด้วย!
สำหรับสำนักหลิงอวิ๋นจงแล้ว นี่ต้องเป็นการโจมตีสำนักครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
หลังจากนี้ไปสำนักหลิงอวิ๋นจงก็ต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว!
แต่ว่าสองวันต่อมา ก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีกแล้ว!
เรื่องนี้ทำให้สำนักหลิงอวิ๋นจงรู้สึกรำคาญใจอย่างมาก พวกเขาจึงวางม่านพลังเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ฝ่ายตรงข้ามเหมือนว่าจะไม่ได้ใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อย! แต่กลับทำลายม่านพลังนั้นอย่างง่ายดาย!
แต่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ!
หลังจากสูญเสียลูกศิษย์ยอดฝีมือไปเป็นจำนวนมาก ในที่สุดสำนักหลิงอวิ๋นจงก็ไม่สามารถทนไหวได้อีกต่อไป จึงเข้าวังหลวงไป เพื่อขอความช่วยเหลือ
องค์หญิงสามจึงส่งทหารม้าทมิฬไปที่นั่น
จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลก เพราะหลังจากที่ทหารม้าทมิฬไปที่นั่นแล้ว สำนักหลิงอวิ๋นจงก็ไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกเลย
ในตอนนั้นเอง สำนักหลิงอวิ๋นจงจึงซาบซึ้งในพระมหากรุณาขององค์หญิงสามอย่างมาก
ส่วนผู้คนในเมืองซีหลิงได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกชื่นชมองค์หญิงสามด้วยเช่นกัน
เพราะว่าก่อนหน้านี้องค์หญิงสามไม่สามารถนำสมุนไพรกลับมาเพื่อฝ่าบาทได้ ซั่งกวนหว่านจึงถูกคนพูดถึงอยู่ไม่น้อย
ในตอนที่องค์หญิงใหญ่ยังอยู่ นางสามารถทำให้แดนภังคะสงบลงได้ แต่เมื่อถึงคราวองค์หญิงสาม แม้กระทั่งสมุนไพรสักตัวนางยังไม่สามารถเอากลับมาได้เลย
เมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้ว นี่มันต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของซั่งกวนหว่านอย่างมาก
แต่ตอนนี้เมื่ออาศัยเรื่องของสำนักหลิงอวิ๋นจง ก็ทำให้ชื่อเสียงของนางกลับคืนมาเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าอย่างใด ก็มีคนลอบถอนหายใจอยู่ เพราะมันช่างแตกต่างจากสมัยที่องค์หญิงใหญ่ยังอยู่มาก
ไม่ว่าจะเทียบจากด้านใดก็ตาม องค์หญิงสามไม่สามารถเทียบเคียงกับองค์หญิงใหญ่ได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่าอย่างใด ภายในราชวงศ์เทียนลิ่งในตอนนี้ มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ และไม่มีตัวเลือกอื่นให้เลือกอีกแล้ว
หากฝ่าบาทยังคงไม่ฟื้นขึ้น สถานการณ์ก็คงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ละมั้ง…
…
ในเมืองซีหลิงมีลมพัดกระหน่ำ ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ อยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปหลายพันลี้ ในตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ทะเลทรายจันทราสีชาดอย่างเร่งรีบ
หลังจากเดินมาสักระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดพวกเขาทั้งหลายก็ได้มาถึงจุดบรรจบของสามโลกแล้ว
เมื่อมองตรงไปข้างหน้าก็เป็นทะเลทรายสีทองทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ภายใต้แสงอาทิตย์มีแสงสะท้อนงดงามพร่างพราว
คลื่นความร้อนกระจายออกมา ทำให้ดูเหมือนอากาศดูบิดเบี้ยวไป
พวกเขาแค่ยืนอยู่ตรงชายแดนก็รู้สึกร้อนเหลือทนแล้ว
หากจะต้องเข้าไปไม่รู้ว่ามันจะน่ากลัวขนาดไหน
“ท่ามกลางทะเลทรายจันทราสีชาด มีพลังหลายอย่างรวมกัน แรงกดดันหนักหน่วงอย่างมาก อีกทั้งการเดินทางนั้นจะยากลำบากมาก”
ฉินอีมองไปยังทะเลทรายด้านหน้า แววตาเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ตอนนี้ถวนจื่อกลายร่างให้มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือแล้ว จากนั้นก็ยืนเกาะอยู่บนไหล่ของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ที่นี่อันตรายอย่างมาก ทุกคนจะต้องระวังหน่อยนะ”
เมื่อพูดจบนางก็สาวเท้าขึ้น พร้อมเดินไปด้านหน้า
ทันทีที่นางเหยียบลงที่ทรายสีเหลืองทอง ทันใดนั้นก็มีเสียงยินดีดังขึ้นที่ข้างหู
“นังหนูเยว่เออร์กลับมาแล้ว! ยังไม่รีบออกมาต้อนรับอีก!”
ซ่าๆ
สวบสาบๆ
ทันใดนั้นที่ทะเลทรายจันทราสีชาดก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาจากทั่วทุกทิศทุกทาง