ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 845 อาเยว่
ตอนที่ 845 อาเยว่
ทั่วทั้งอาณาบริเวณของจวนตระกูลเจียงถูกตกแต่งอย่างสวยงาม และดูรื่นเริงสมกับงานมงคลครั้งใหญ่
เจียงอวี่เฉิงเดินออกไปนอกประตู และยืนเอามือไพล่หลัง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดหวังกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่เมื่อเห็นภาพงานสังสรรค์เช่นนี้ เขากลับรู้สึกกล้ำกลืนในใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อสองปีก่อน ก็เคยปรากฏฉากเดียวกันนี้ขึ้นที่นี่
ชั่วขณะหนึ่ง เขาเกือบจะคิดว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปช่วงเวลานั่นเสียแล้ว
“คุณชายใหญ่ขอรับ”
เป็นซุนฉีที่ก้าวไปข้างหน้า พลางถามและมองเขาอย่างสำรวจ
“ท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ?”
เจียงอวี่เฉิงดึงสติกลับมาแล้วส่ายหน้า
“ข้าแค่จะไปเดินเล่น ไม่ต้องตามข้ามา”
“ขอรับ”
ซุนฉีนรีบตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเจียงอวี่เฉิงก็ยกเท้าขึ้น แล้วเดินไปข้างหน้า
ทว่าครั้นก้าวไปได้เพียงสองก้าว กลับได้ยินเสียงซุบซิบดังมาจากพื้นที่ด้านข้างเสียก่อน
“นี่ๆ พวกเจ้าว่าครานี้คุณชายใหญ่จักแจกเงินเท่าไรกัน? เจ้าว่ามันจะเหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่? ตอนนั้นคนรับใช้ตำแหน่งต่ำสุดในจวนของเรา ต่างก็ได้รับผนึกศิลาขาวคนละหนึ่งร้อยผลึกเชียวนะ และยิ่งพวกตำแหน่งสูงๆ แล้ว เห็นว่าได้ซองแดงไม่ต่ำกว่าคนละพันผลึกเลยด้วย!”
“ข้าว่าเป็นไปไม่ได้หรอก… ตอนนั้นมันเป็นงานอภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ แม้ว่าองค์หญิงสามจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่นางก็ยังด้อยกว่าองค์หญิงใหญ่อยู่ดี… ข้าว่านะ แค่ให้ได้สักสองในสาม ก็ถือไม่เลวแล้ว!”
“เห่อ พวกเจ้านี่ช่างเพ้อฝันกันเสียจริง ข้าไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันจะดีตรงไหน! พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่า ท่าทีของคุณชายใหญ่ของพวกเรา แตกต่างจากครั้งก่อนเพียงใด? อีกสามวันก็จะถึงวันงานแล้ว แต่ช่วงนี้ข้าไม่เห็นคุณชายใหญ่ยิ้มเลย ดูๆ แล้วเกรงว่าปีนี้พวกเราคงได้ไม่ถึงครึ่งแน่!”
“โอ้ยๆ! เจ้าอย่าพูดอันใดที่ฟังดูหดหู่แบบนี้สิ! คุณชายใหญ่ได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงสามเชียวนะ ย่อมถือเป็นงานมงคลครั้งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความสุข! อีกอย่าง สองสามวันมานี้เจ้าเองก็ไม่ได้เห็นคุณชายใหญ่เลยสักครา แล้วเจ้าจักรู้ได้อย่างใดว่าเขาไม่ได้ยิ้ม?”
“เหอะ พวกเจ้าคงไม่รู้เรื่องนี้สิท่า? วันนั้นใต้เท้าอวี่เหวินเว่ยจากกรมวัง ได้พาคนมาหารือเรื่องการอภิเษกสมรสกับคุณชายใหญ่ แต่สุดท้าย คุณชายใหญ่ก็บอกใต้เท้าอวี่เหวินว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง… ข้ายังจำได้เลยว่าครั้งก่อน แม้แต่ชุดน้ำชาที่ใช้สำหรับงานอภิเษกสมรส คุณชายใหญ่ก็เป็นคนเลือกเองกับมือ…”
ถึงพวกนางจะคุยกันเบาๆ แต่มันกลับดังชัดเจนสำหรับชายผู้แข็งแกร่งอย่างเจียงอวี่เฉิง
ซุนฉีเองก็ได้ยินเช่นกัน
เขาสาปแช่งพวกนางในใจ พลันรุดตัวไปข้างหน้า
“คุณชายใหญ่ขอรับ ให้ข้าน้อยไปสั่งสอนคนพวกนั้น…”
“ไม่จำเป็น”
เจียงอวี่เฉิงเผลอขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า
“แค่แจกจ่ายซองเงิน ให้เท่าครึ่งหนึ่งของครั้งก่อนก็พอ”
ซุนฉีรีบโค้งคำนับทันที
“ขอรับ!”
เจียงอวี่เฉิงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น และหลังจากพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอกจวน
ซุนฉีตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองแผ่นหลังของเจียงอวี่เฉิงด้วยความสับสน
หากว่าตามนิสัยของคุณชายใหญ่แล้ว ถ้าปกติเขาได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาจะไม่ปล่อยคนพวกนั้นไปง่ายๆ แน่นอน
และยิ่งเมื่อองค์หญิงใหญ่ถูกพาดพิงด้วยแล้ว…
แม้แต่ซุนฉีเองยังไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเจียงอวี่เฉิงตรงๆ เลย
เขาคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างใดก็คิดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้
จากนั้นเขาก็เรียกรวมพล และหลังจากถ่ายทอดคำสั่งของเจียงอวี่เฉิงแล้ว เขาก็แอบพาคนติดตามอีกฝ่ายออกไปอย่างลับๆ
เมื่อเจี่ยงอวี่เฉิงก้าวพ้นอาณาเขตจวนตระกูลเจียง เขาก็สุ่มหามุมลับตาคน และสวมหน้ากาก
ครั้นก้าวเท้าออกมาอีกที เขาก็พลันกลายเป็นคุณชายธรรมดาสามัญทั่วไปเสียแล้ว
…
บรรยากาศบนถนนสายใหญ่ดูรื่นเริงมีชีวิตชีวาอย่างมาก
แม้หลายสำนักวิชาจะยังคงหดหู่ กับเรื่องการหายตัวไปของลูกศิษย์ของตน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ในเมืองซีหลิงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยสักนิด
งานอภิเษกสมรสขององค์หญิงสามนั้น สร้างความสุขและประโยชน์ให้พวกเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
และในเมื่อพวกเขามีความสุขขนาดนี้ เช่นนั้นจะไปสนใจเรื่องอื่นเหตุใด?
เจียงอวี่เฉิงเดินอยู่บนถนนคนเดียว
ขณะนี้ไม่มีผู้ใดจดจำตัวตนของเขาได้ และต่างก็ล้วนมองว่าเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
ที่ไม่แม้แต่จะไปสะดุดตาใครเลยสักคน
เจียงอวี่เฉิงย่ำเท้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
ภาพงานรื่นเริงเบื้องหน้านี้ช่างคล้ายกับสองปีก่อนยิ่งนัก
ทว่าความรู้สึกของเขากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
จากนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่แล้วแสยะยิ้ม
ต่างกันลิบลับจริงๆ นั่นแหละ
ในตอนนั้น เขาลงทุนทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อจัดเตรียมทุกอย่างให้ออกมาสมบูรณ์แบบ
แต่ในยามนี้ เขากลับรู้สึกหมดแรง ขนาดที่ว่าแค่ได้ยินใครบ่นให้ฟังอีกแค่สองประโยค เขาก็เหนื่อยใจแล้ว
แต่ถ้าคนพวกนั้นไม่พูดขึ้นมา เขาคงลืมเรื่องเงินเรื่องซองไปแล้วด้วยซ้ำ
ทว่าแท้จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เป็นเพราะแต่ก่อนเขาชอบพอในตัวองค์หญิงใหญ่ เขาจึงมีไฟจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าซั่งกวนหว่านจะเสียหน้า เขาคงขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจกับงานแบบนี้
ผู้คนรอบข้างส่งเสียงเฮฮากันจ้าละหวั่น
และมีเพียงเขาเท่านั้น ที่ดูเหมือนเป็นคนนอกไม่เขาพวก
แม้ว่าเขากำลังจะได้เป็นว่าที่เจ้าบ่าว แต่จนถึงตอนนี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจแต่อย่างใด
เจียงอวี่เฉิงเดินไปที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เขาเดินเอื่อยๆ ขึ้นไปยังชั้นสอง และสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเอง
พลางสูดกลิ่นหอมรัญจวนของสุรา และกลืนความร้อนผ่าวนั่นลงไปในลำคอ
ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องของคนคนนั้น
เจียงอวี่เฉิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย และอยากจะโยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไป ดังนั้นเขาจึงหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าสุราเหล่านี้ ยิ่งดื่มก็ยิ่งร้อนรุ่ม ยิ่งดื่มก็ยิ่งมัวเมา
พลันในหัวของเขาก็มีฉากในวันวานอันแสนแสนสุขปรากฏขึ้นมา
ทั้งภาพรอยยิ้มของนาง ภาพที่นางร้องไห้
ท่าทางยามที่นางมีความสุข และในยามที่นางทุกข์ใจ
แต่ก่อนเขาเคยคิดว่า ถ้าเขารับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองได้ดี จนสามารถไต่เต้าได้เป็นอันดับหนึ่งของคนเหล่านั้น สักวันเขาก็จะได้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนาง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องที่เขาคิดไปเองคนเดียว
และสุดท้าย เขาถึงได้รู้ว่า บุรุษในอุดมคติที่นางคอยเฝ้าฝันถึงนั้น แท้จริงแล้วจักเป็นชายที่มีดวงตาพร่างพราวกับกลุ่มดาวผู้นั้น
หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับนางอีกเลย
แม้กระทั่งงานอภิเษกสมรสครั้งใหญ่ ที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดลงไปนั้น ความจริงแล้วมันก็กลายเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ของชายคนหนึ่ง
เขาเห็นภาพนางกำลังยิ้มให้กันอย่างสดใสร่าเริง
แต่เพียงพริบตา ร่างของนางก็ถูกเผาและจมหายไปในกองเพลิง!
เหลือเพียงดวงตาที่แน่วแน่คู่นั้น!
เจียงอวี่เฉิงพลันสะดุ้งตื่น! แล้วลุกพรวดขึ้นมา!
เก้าอี้นั่งล้มตึงลงไปกองกับพื้นเนื่องจากเคลื่อนไหวที่ฉับพลันของตน จนเกิดเสียงดังโครมคราม
เขาสะบัดศีรษะอย่างแรง ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนนั้นคงเมาเกินไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเดินไปจ่ายค่าสุราและหมุนตัวย่ำเท้าออกไปข้างนอก
ถึงเวลากลับแล้ว
สายลมเย็นยามราตรีพัดโชยมา ทำให้เจียงอวี่เฉิงเริ่มส่างเมา
อารมณ์มากมายในดวงตาของเขาที่แปรปรวนราวกระแสน้ำ ค่อยๆ ลดลงและจางหายไป
แต่ทว่า ในขณะที่เขากำลังจะจากไป สายตาดันเหลือบไปเห็นร่างเงาอันคุ้นเคยที่อยู่ในระยะไกล
เขาสะดุ้งอย่างตกใจ
มันเป็นร่างเงาของสตรีในอาภรณ์สีแดงเข้ารูป เผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวที่มองเห็นได้ลางๆ
ผมยาวสลวยถูกยกม้วนขึ้นเป็นมวยหลวมๆ เสมือนก้อนเมฆสีครามนุ่มฟูที่สะท้อนแสงจันทรา พร้อมด้วยปิ่นปักผมรูปดอกท้อธรรมดาๆ สอดแทรกเข้าไว้ในมวยผม
นางยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และเอียงศีรษะเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอเรียวสวยและใบหน้าด้านข้างที่งดงามของนาง
แสงจากโคมไฟรอบด้านสว่างไสว บังเกิดแสงสะท้อนบนใบหน้าขาวนวลของนาง ราวกับหิมะในคืนเดือนหงาย ที่ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ มีกลิ่นอายของความเยือกเย็นและสง่างามแผ่ซ่านออกมาจากแม่นางผู้นั้น
หัวใจของเจียงอวี่เฉิงเต้นรัวทันที!
เป็นนาง!
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ขายาวก้าวผ่านฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเพียงคนๆ เดียวที่ยังอยู่ในครรลองสายตาและหัวใจของเขา
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร หัวใจของเจียงอวี่เฉิงก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้นเท่านั้น!
เขายื่นมือออกไปและหมายจะจับมือแม่นางผู้นั้น
“อาเยว่…”