ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 846 ข้ายังไม่ตาย
ตอนที่ 846 ข้ายังไม่ตาย
แต่เหมือนว่าแม่นางนั้นจะรู้ตัว นางหันกลับมามองเขาทันควัน
พร้อมใบหน้าอันงดงามเพียงพริบตาที่ปรากฏให้เห็นแก่สายตา
ดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจ และทันใดนั้นริมฝีปากสีแดงสด ก็ยกขึ้นยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย
“เจ้าคือ…”
เจียงอวี่เฉิงหยุดการเคลื่อนไหวของตนลงฉับพลัน!
แม้ว่าแม่นางตรงหน้าจะคล้ายนางมาก แต่ก็ไม่ใช่นาง!
ขนงเรียวและดวงตากลมสวยคู่นั้นแลช่างดูคล้ายกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อย
เพราะดวงตาของคนผู้นั้นมักจะทอประกายอ่อนโยนทว่าแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ ทว่าดวงตากลมดำขลับเสมือนหยกที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น กลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและแน่วแน่
ไม่ใช่นาง… คนผู้นี้ไม่ใช่นาง!
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองมือหนาที่ค้างเติงอยู่กลางอากาศ พลางขมวดคิ้ว
ถึงอีกฝ่ายจะใส่หน้ากาก แต่นางก็ยังจำรูปร่าง กิริยาท่าทางและน้ำเสียงของเจียงอวี่เฉิงได้อย่างชัดเจน
เสียงเรียกเมื่อครู่นี้… เจียงอวี่เฉิงคงคิดว่าเขาเป็นซั่งกวนเยว่สินะ?
นานแล้วที่ไม่ได้ยินการเรียกขานเช่นนี้
จิ๊ น่าขยะแขยงยิ่งนัก
“… เหตุใดถึงเป็นเจ้าไปได้?”
เจียงอวี่เฉิงดึงมือของเขากลับอย่างแรง นิ้วมือม้วนงอเข้าหากัน พลางรู้สึกอึดอัดในลำคอราวกับถูกปิดกั้นด้วยบางสิ่ง และในที่สุด เขาก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจระคนผิดหวังของเจียงอวี่เฉิง ฉู่หลิวเยว่ก็กะพริบตาหนึ่งที พลันกดยิ้มมุมปากลึกขึ้น
หากได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความเปรมปรีดิ์ คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คงคิดว่า เขามีความรักอย่างลึกซึ้งต่อนาง
แต่การที่เขาถามแบบนี้ มันช่างน่าขัน นี่เจียงอวี่เฉิงยังหวังอยากจะพบซั่งกวนเยว่อยู่อีกหรือ?
เขาเป็นคนผลักนางไปสู่ทางตันเองมิใช่หรือ?
แล้วเขามีสิทธิ์อันใดมาพูดกับนางแบบนั้น!?
ความคิดของฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไปทันที แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา นางทำเพียงยิ้มบางและพูดว่า
“คุณชายจำคนผิดหรือเปล่า? ข้ามากับเพื่อนๆ นะ พวกเขาไปซื้อของในร้าน ส่วนข้าก็รอพวกเขาอยู่ที่นี่”
อันที่จริง พวกเขากลับมาถึงซีหลิงเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว
เดิมทีนางต้องการรีบกลับไปยังชงซูเก๋อ แต่มู่หงอวี่บอกว่าสภาพของพวกนางในตอนนี้น่าอับอายยิ่งนัก ถ้ากลับไปทั้งๆ แบบนี้ มันจะทำให้ทุกคนกังวลอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ชำระร่ายกายเปลี่ยนชุดใหม่เสียก่อนจะดีกว่า
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่มู่หงอวี่หรอกที่อาย แต่คนอื่นๆ อีกหลายคน รวมทั้งฉู่หลิวเยว่เองก็รู้สึกสมเพชตัวเองสุดๆ
พวกนางใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาดเป็นเวลานาน วันๆ คลุกอยู่แต่กับทรายสีเหลืองสกปรก อีกทั้งความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่แผดเผาร่างกายของพวกเขา จนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและกลิ่นเหม็นสาบ
ซึ่งฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ต้องการเอาหน้าบวมๆ และจมูกช้ำๆ เช่นนี้ กลับไปให้คนอื่นเห็น คนทั้งหมดจึงตกลงกันและหาโรงเตี้ยมนอนพักชั่วคราว เพื่อฟื้นฟูความสดชื่นให้กับตัวเอง
แต่เนื่องจากบนหน้าผากของฉู่หลิวเยว่ยังมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย เย่หรานหร่านจึงทาแป้งบางๆ และลงเครื่องประทินผิวปกปิดรอยช้ำให้นาง
ปกติฉู่หลิวเยว่ไม่ค่อยชอบแต่งหน้าแต่งตาเท่าไร แต่เมื่อเห็นว่าเย่หรานหร่านยังคงดื้อรั้น นางจึงปล่อยเลยตามเลย
แต่ระหว่างนั้น นางก็จำได้ว่าตนยังไม่เคยนำปิ่นดอกท้อที่หรงซิวมอบให้ ออกมาใส่จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง นางจึงหยิบมันออกมาใช้
แต่ก็ไม่คิดว่าจะซวยขนาดนี้
ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
อารมณ์ดีๆ เมื่อครู่พลันหายลับไปกับตา
ขณะเดียวกัน เจียงอวี่เฉิงก็ดึงสติตัวเองกลับมาได้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่… ฉู่หลิวเยว่หรือ!
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้นาง…
เขาจ้องมองนางตาถลนราวไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“จะ เจ้ายังไม่ตาย?”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงพลันเชิดคางขึ้น ก่อนจะมองหน้าเจียงอวี่เฉิงตาเขม็งแล้วยิ้มเยาะ
“คุณชายนี่ช่างมีอารมณ์ขัน การที่ข้ายืนเด่นอยู่ตรงนี้ ก็แปลว่าข้ายังไม่ตายน่ะสิ”
เจียงอวี่เฉิงผงะจนสติหลุดลอยไปอีกรอบ
สีหน้าแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ ช่างเหมือนกับกิริยาของนางผู้นั้นตอนกำลังพูดไม่มีผิด
ฤทธิ์ของน้ำเมาพุ่งเข้ามาเล่นงานเขาอีกครั้ง ความคิดในหัวตีกันมั่วไปหมด ทว่าดวงตาคู่คมกลับเอาแต่จ้องมองสตรีตรงหน้า และพึมพำเสียงต่ำ
“…ดีแล้วที่รอดมาได้…ดีจริงๆ… ข้า… ความจริงแล้วข้า…”
ตอนแรกเขารู้สึกโล่งใจ แต่จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ราวกับจำอันใดบางอย่างได้
“ไม่…ไม่มีทาง…”
กลิ่นอันรุนแรงของสุราโชยออกมา
ฉู่หลิวเยว่ก้าวถอยหลังอย่างใจเย็น แต่สายตาของนางยังคงจับจ้องที่เขา
ปฏิกิริยาของเจียงอวี่เฉิงนั้นแปลกจริงๆ
“หลิวเยว่!”
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนของมู่หงอวี่ดังมาจากข้างๆ
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมอง ก่อนจะเห็นมู่หงอวี่และเย่หรานหร่านที่รีบพุ่งเข้ามา
ตอนแรกพวกนางมีความสุขกับการซื้อของมาก แต่ก็ต้องหมดสนุกเมื่อเห็นชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ถัดออกไป
สายตาที่เขามองฉู่หลิวเยว่นั้นแปลกมาก
มู่หงอวี่ขมวดคิ้วและรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลันดึงฉู่หลิวเยว่ออกมา แล้วก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อปิดกั้นสายตาของเจียงอวี่เฉิง
“หลิวเยว่ คนผู้นี้คือใคร?” มู่หงอวี่ถามอย่างระแวดระวัง
ดูจากกลิ่นละมุดที่อบอวลไปทั่วร่างแล้ว คงไม่แคล้วเข้ามาเกี้ยวพาฉู่หลิวเยว่คนงามเป็นแน่?
แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ไม่รู้สิ เขาน่าจะทักคนผิด”
ประโยคนี้ทำให้เจียงอวี่เฉิงสร่างเมาในทันที
เขาหลับตาลง ก่อนจะจำได้เขากำลังสวมหน้ากากอยู่ หากพวกนางจะระแวดระวังเขาก็ไม่แปลก
แต่โชคดีที่เป็นเช่นนั้น มิฉะนั้น มันคงจะ…
เขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่ง แล้วค่อยหมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง
“เหอะ…อันใดของบุรุษผู้นั้นกัน?”
มู่หงอวี่ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
“ทักคนผิดแต่ไม่คิดจะขอโทษกันเลยหรือ?”
แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ชาวบ้านชาวเรือนทั่วไป ทว่าเหตุใดจึงทำตัวไร้การอบรมสั่งสอนเช่นนี้?
ฉู่หลิวเยว่แตะข้อมือของนางและส่ายหัวเล็กน้อย
“ลืมมันไปเถอะ อย่าไปให้ค่าคนเช่นนั้นเลย แล้วเสี่ยวโจวกับคนอื่นๆ เล่า?”
เย่หรานหร่านกระซิบบอก
“พวกพี่ใหญ่ฉินบอกว่าจะช่วยเขาชำระร่างกาย ตอนนี้ก็น่าจะใกล้เสร็จแล้วกระมัง?”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับกุมขมับ ชายร่างใหญ่เหล่านี้ใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าพวกนางเสียอีก ยอมพวกเขาเลยจริงๆ
แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าเย็นชาของเสี่ยวโจว ฉู่หลิวเยว่ก็แอบปวดหัว
เกรงว่าคงจะมีแค่พวกฉินอีเท่านั้นที่สามารถปราบพยศเขาได้…
เย่หรานหร่านมองไปรอบๆ และถอนหายใจ
“ซีหลิงไม่ได้ดูครึกครื้นแบบนี้มาสองปีแล้ว ครั้งสุดท้ายก็…”
พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็หม่นหมองลง
ซึ่งในขณะที่มู่หงอวี่กำลังจะถาม จู่ๆ นางก็จำอันใดบางอย่างได้ และเงียบไป
มันคงจะเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นสินะ…
“…น่าเสียดายจริงๆ”
มู่หงอวี่พึมพำ
แต่ไหนแต่ไรนางชื่นชมองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นมาก
แต่กว่านางจะมาถึงซีหลิงแห่งนี้ได้ คนผู้นั้นก็ไม่อยู่ให้นางได้ชื่นชมอีกต่อไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางและพูดอย่างมีนัย
“น่าเสียดายอันใดกัน คราวนี้เรามาทันงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงสามกับองค์ชายใหญ่เจียงเชียวนะ เมื่อถึงเวลานั้นทั่วทั้งเมืองคงจะคึกคักมากเป็นแน่”