ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 848 ครื้นเครง
ตอนที่ 848 ครื้นเครง
สำนักชงซูเก๋อ
อวี้ฉือซงเพิ่งจะวัดชีพจรให้ฉีต้าเหอเสร็จ
หลังจากพักฟื้นมาได้ช่วงหนึ่ง แม้ว่าร่างกายของฉีต้าเหอจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่อย่างน้อยอาการของเขาก็ทรงตัว
และเหลือเพียงสมองเท่านั้นที่ยังกลับมาทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เขาจำต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันราวกับคนโง่เขลาทึ่มทื่อ
นอกจากนี้ เขายังกลายเป็นคนใบ้ที่ไม่สามารถพูดอันใดได้อีกด้วย
ทุกคนในชงซูเก๋อล้วนไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดเจ้าสำนักของพวกเขาถึงยังเก็บคนคนนี้ไว้อีก
แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักยืนกรานจะทำเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่อาจแย้งได้ และทำเพียงรับผิดชอบในงานส่วนของตนเองให้ดีเท่านั้น
อวี้ฉือซงนำยาออกมาและป้อนให้ฉีต้าเหอ
อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงและส่งเสียงฮึดฮัดออกมาสองครั้ง นัยน์ตาของเขาฉายแววขัดขืนราวสู้กับฤทธิ์ยา
อวี้ฉือซงใจกระตุกวูบ
ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ว่าร่างกายของฉีต้าเหอเริ่มดีขึ้นแล้ว
และถ้ามันเป็นไปได้ด้วยดี…
ทว่าทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็หันศีรษะมองออกไปนอกประตู ราวกับสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง!
ลมปราณนี้ และความผันผวนเช่นนี้…
“เจ้าสำนักเก๋อ ท่านเป็นอันใดไปหรือ?”
ลูกศิษย์สองคนที่อยู่ข้างๆ ทำหน้างงงวย
แต่อวี้ฉือซงกลับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และทิ้งท้ายไว้อย่างร้อนรนว่า “ฝากดูฉีต้าเหอด้วย” ก่อนจะรีบพุ่งตัวออกไปนอกประตู
ยามนี้ก็ดึกดื่นมืดค่ำแล้ว และสาวกส่วนใหญ่ในชงซูเก๋อก็ได้กลับไปพักผ่อนแล้ว
ทั่วทั้งสำนักล้วนปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน
อวี้ฉือซงเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
จนทำให้ลู่จือเหยาที่เพิ่งออกมาจากสวนสมุนไพร ชนเข้ากับอวี้ฉือซงอย่างจัง
เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักเก๋อดูรีบร้อน ลู่จือเหยาก็เกิดสงสัยใคร่รู้ หลังจากทำความเคารพแล้ว เขาจึงถามว่า
“เจ้าสำนักเก๋อ นั่นท่านกำลังจะลงเขาหรือขอรับ?”
ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ…
อย่างใดก็ตาม อวี้ฉือซงกลับย่ำเท้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นที่ไม่สามารถควบคุมได้
“ไม่ ข้าจะไปต้อนรับพวกฉู่หลิวเยว่!”
ลู่จือเหยาชะงักไปทันที
“ท่านจะไปรับใคร…”
ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้างพร้อมตะโกนด้วยความตกใจ
“ท่านบอกว่าพวกศิษย์น้องหญิงกลับมาแล้วหรือ!?”
อวี้ฉือซงเผยยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ถูกต้อง พวกเขานั่นแหละ!”
พอได้ยินคำตอบเช่นนั้น ลู่จือเหยาก็พลันแผดร้องดังลั่นด้วยความดีใจ แล้วรีบเดินตามอวี้ฉือซงไปทันที!
“ขะ ขะ ข้า! ข้าขอไปด้วย!”
สิ้นสุรเสียง เขาก็พุ่งออกทะยานไปด้วยการดีดตัวเพียงก้าวเดียว และมุ่งตรงไปยังประตูทางขึ้นเขา!
ในพริบตา เขาได้วิ่งแซงหน้าอวี้ฉือซงไปแล้ว
อวี้ฉือซงจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย พลันส่ายหัวและหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
…
เดิมทีศิษย์สาวกน้อยภายในสำนักชงซูเก๋อก็มีน้อยอยู่แล้ว และเพื่อความสะดวกและปลอดภัย ศิษย์ทุกคนจึงพักอาศัยอยู่ใกล้ๆ กัน
เสียงคำรามของลู่จือเหยาดึงดูดความสนใจของทุกคนได้อย่างรวดเร็ว
หลายคนโผล่หน้าออกมามองด้วยความฉงน
ดึกดื่นปานนี้แล้ว เจ้าสำนักเก๋อกับลู่จือเหลากำลังทำอันใดกันอยู่?
ศิษย์คนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าอย่างแปลกใจ และถามว่า
“เจ้าสำนักเก๋อเจ้าคะ คือว่า…”
“ศิษย์น้องหญิง! ศิษย์น้องชาย! หรานหร่าน! เป็นพวกเจ้าจริงๆ ด้วย!”
เสียงของลู่จือเหยาดังมาก เขาตะโกนสุดเสียงราวปอดจะระเบิด จนใครก็ตามที่ไม่คิดจะฟัง ยังต้องหันกลับมามอง
หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ฝูงชนก็ตื่นตัวกันยกใหญ่!
“อันใดนะ! เมื่อครู่ลู่จือเหยาพูดว่าอันใดนะ?”
“เขาพูดว่าพวกศิษย์น้องหญิงกับศิษย์น้องชายใช่หรือไม่? ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปเองหรอกนะ!”
“ข้าเองก็ได้ยินเหมือนกัน! ถ้าเขาพูดอย่างนั้น! แสดงว่าพวกเขากลับมาแล้วจริงๆ หรือนี่!?”
“ดูสิ…”
ท่ามกลางความโกลาหล ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาจนทำให้คนทั้งหมดหันไปมอง ก่อนจะเห็นร่างเงาสองสามร่าง กำลังเดินขึ้นบันไดมาทางนี้!
ลู่จือเหยา คือผู้ที่เดินนำหน้าคนแรกและกำลังหัวเราะราวกับคนบ้า
ส่วนกลุ่มคนที่เดินตามหลังมาก็คือ…
ฉู่หลิวเยว่ เชียงหว่านโจว เย่หรานหร่าน…
ทุกสายตาเบิกโพล่งพร้อมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง!
แม้เจ้าสำนักเก๋อจะบอกเสมอว่า พวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย แต่คนในสำนักล้วนเป็นกังวลอย่างมาก
เพราะอย่างใดเสียมันเป็นถึงแดนภังคะ สถานที่ที่อันตรายที่สุด!
เหล่าศิษย์ที่อยู่ที่นี่ต่างพากันเฝ้ารอทั้งวันทั้งคืนด้วยความวิตกกังวลในใจ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลับมากระทันหันเช่นนี้!
ลู่จือเหยาอดไม่ได้ที่ผิวปาก และหัวเราะอย่างมีชัย
“ฮ่าฮ่าฮ่า! มัวตกตะลึงอันใดกัน? ยังไม่รีบออกมาต้อนรับศิษย์น้องหญิงกับศิษย์น้องชายกลับบ้านอีกหรือ!”
จากนั้นทุกคนก็ได้สติกลับมา ความตกใจบนใบหน้าของพวกเขาค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงความสุขและความยินดีภายในหัวใจของพวกเขา!
“หรานหร่าน!”
“ศิษย์น้องหญิง!”
“ศิษย์น้องชาย!”
ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ เพิ่งจะเดินขึ้นมาถึงด้านบน แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทักทายทุกคน ก็ดันถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักพุ่งเข้ามาห้อมล้อมพวกของตนไว้เสียก่อน
“หรานหร่าน พวกเจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาตอนนี้เล่า?”
“พวกเจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
“สรุปแล้ว แดนภังคะแห่งนั้นมันเป็นเช่นไรหรือ? พวกศิษย์น้องช่วยรีบๆ เล่าให้ข้าฟังทีสิ!”
ฉู่หลิวเยว่มึนงงอยู่พักใหญ่
ชั่วขณะหนึ่ง นางไม่สามารถรับมือกับความกระตือรือร้นอันร้อนแรงนี้ได้เลย…
ส่วนคนนิสัยนุ่มนิ่มอย่างเย่หรานหร่านนั้น เมื่อเห็นภาพชุลมุนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นนี้ ใบหน้ากลมก็แดงก่ำจนพูดอันใดไม่ออก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเชียงหว่านโจว ตอนนี้เขาได้แผ่ลมปราณเย็นยะเยือกออกมา ราวกับจะแช่แข็งใครให้ตายอย่างใดอย่างนั้น
น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกคนกำลังตื่นเต้น จนไม่มีใครให้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้
แต่เพราะว่าเขาจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหญิงและชายหลายคน จึงพากันเอ่ยชมเขากันพัลวัน
“ศิษย์น้องชายช่างงดงามยิ่งนัก!”
… ไม่มีประโยชน์ เมื่อคนพวกนี้มีความสุขมากๆ แล้ว มักจะเพิกเฉยต่อหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัว
สีหน้าของเชียงหว่านโจมืดมนลง แต่ใบหูของเขากลับแดงฉาน เขาเริ่มขยับกระบี่ในมือ แต่เมื่อคิดว่า ความจริงแล้วคนเหล่านี้กำลังมีความสุขที่พวกเขารอดชีวิตกลับมาได้ ก็พลันเขินอายจนก้าวขาไม่ออกเสียอย่างนั้น
ดังนั้นจึงเหลือเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียวที่ต้องรับมือกับสถานการณ์นี้
“คือว่า… ศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิง เรื่องนี้มันค่อยข้างยาว พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยายามเจรจากับทุกๆ คน และสิ้นคำพูดของนาง ลู่จือเหยาก็โบกมือไล่ พร้อมตะโกนเสียงดัง
“ศิษย์น้องหญิงขอให้เข้าไปในสำนักก่อน แล้วค่อยพูด!”
เป็นอีกครั้งที่เสียงตวาดนี้แทบจะทะลุแก้วหูของพวกเขาที่อยู่รอบๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศโดยรอบก็พลันครื้นเครงขึ้นอีกครา ก่อนที่คนทั้งหมดจะเข้ามาล้อมวง แล้วพาพวกของฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปข้างใน
“เร็วเข้า! พาพวกศิษย์น้องหญิงไปหาที่นั่งคุยกันดีๆ ดีกว่า!”
“อย่างนี้มันต้องดื่มชา! ข้าจะเตรียมชาเอง!”
“โอ้ แล้วพวกเจ้าทานข้าวมาหรือยัง? ให้ข้ายกของทานเล่นมาให้พวกเจ้าก่อนดีหรือไม่?”
“ไอ้หยา อย่าเบียดพวกศิษย์น้องสิ! หลีกทางกันให้หมด!”
ไม่ใช่ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่เคยจินตนาการถึงการต้อนรับอันอบอุ่นจากทุกคนเมื่อพวกเขากลับมา แต่นางคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจักทำการใหญ่ถึงขนาดนี้!
เมื่อถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชน ฉู่หลิวเยว่ก็เกิดรู้สึกอ่อนแอไม่กล้ามีปากมีเสียงขึ้นมาทันที
นางเหลือบมองอวี้ฉือซงที่ยืนอยู่ข้างๆ
…ท่านอาจารย์เจ้าคะ! โปรดช่วยชีวิตศิษย์ตัวน้อยๆ ผู้นี้ด้วย!
ทว่าอวี้ฉือซงกลับทำเพียงยืนหัวเราะ และปล่อยให้คนที่เหลือลากพวกเขาไปเช่นนั้น
อวี้ฉือซงยืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมความปรีดาในใจ ดวงตาของเขาร้อนผ่าว
ผู้อาวุโสซย่าอี้ที่ได้ยินเสียงวุ่นวาย ก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน แต่เมื่อเห็นภาพที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความยินดี เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เช่นกัน
“ชงซูเก๋อของเราไม่มีชีวิตชีวาแบบนี้มานานแล้ว!”
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้คนในชงซูเก๋อต่างก็เสียชีวิต บาดเจ็บ และละทิ้งสำนักไป
แม้แต่พวกเขาเองก็รู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย
และไม่เคยคิดว่า พวกเขาจะได้มีวันที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวาเช่นนี้อีกครั้ง
อวี้ฉือซงเอามือไพล่หลังแล้วถอนหายใจยาว
“ถูกต้อง!”
ความครึกครื้นมีชีวิตชีวาเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะการมาถึงของพวกฉู่หลิวเยว่…
ผู้อาวุโสซย่าอี้ตบไหล่อวี้ฉือซง
“ไปกันเถิด! พวกเด็กๆ กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเรามาฉลองกันดีกว่า!”
อวี้ฉือซงเองก็หัวเราะชอบใจ
“ไปสิ!”