ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 849 โหวกเหวกอะไรกัน
ตอนที่ 849 โหวกเหวกอะไรกัน
ในค่ำคืนนี้ สำนักชงซูเก๋อได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ศิษย์สาวกทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน พวกเขาล้อมรอบฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ไว้ ทุกสายต่างก็จับจ้องไปยังเหล่าศิษย์น้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฉู่หลิวเยว่จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง
แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นข้อมูลบางส่วนที่นางเลือกมาเท่านั้น
ซึ่งจะมีเฉพาะเหตุการณ์ตอนที่นางติดอยู่ใต้ดิน ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก ก็ถูกเสริมด้วยมู่หงอวี่และเย่หรานหร่าน
หลังจากรับฟังเรื่องราวต่างๆ แล้ว ทุกคนก็พลันรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
ลู่จือเหยาเอ่ยโพล่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่แปลกที่พวกเจ้าจะกลับมาช้า ที่แท้ก็เพราะว่ามีหลายสิ่งเกิดขึ้นนี่เอง… แล้วทะเลทรายจันทราสีชาดเล่า สรุปแล้วมันเกิดอันใดขึ้นที่นั่นหรือ? ดูเหมือนพวกเจ้าจะเผชิญความลำบากไม่น้อยเลยนะ?”
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องการมีอยู่ของพี่เป่า และบอกแค่ว่า นางเองก็ไม่อธิบายไม่ถูกว่ามันเกิดอันใดขึ้นเช่นกัน
เย่หรานหร่านตอบกลับเสียงเบา
“อันที่จริง ก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอก… นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเราก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย!”
แม้ว่าตอนนั้นมันจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว พวกนางนั่นแหละ คือคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากมัน
และถ้ามองแบบนี้ มันย่อมเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตัวเอง
“แดนภังคะนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แม้ว่าจะมีอันตรายมาก แต่ก็มีโอกาสสำหรับการพัฒนาตัวเองมากเช่นกัน การเดินทางครั้งนี้ พวกเจ้าได้รับสิ่งตอบแทนมามากแล้ว ซึ่งถือว่าไม่ได้เสียเปล่าเลย!”
ผู้อาวุโสซย่าอี้กล่าวอย่างมีความสุข
เป็นเรื่องน่ายินดีที่คนเหล่านี้กลับมาอย่างปลอดภัย และคาดไม่ถึงว่าพื้นฐานการฝึกปราณของพวกเขาจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดเพียงนี้!
มหัศจรรย์ยิ่งนัก!
โดยเฉพาะฉู่หลิวเยว่ ที่กลายเป็นจอมยุทธ์รบระดับหกไปแล้ว!
การฝึกที่รวดเร็วเพียงนี้ ช่างมหัศจรรย์เกินมนุษย์มนา!
ต่างจากพวกคนที่กลับมายังซีหลิงก่อนใคร แถมยังกลับมามือเปล่า และบางคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก
ทุกคนต่างคิดว่าคราวนี้สาวกของชงซูเก๋อ จักต้องถูกกวาดล้างแน่นอน แต่ใครจะคิดว่าคนที่กลับมาหลังสุดนั้น คือคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด!
ซึ่งหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่รู้เลยว่าจะมีคนอิจฉาตาร้อนกันมากขนาดไหน!
ทุกคนพูดคุยไถ่ถามกันเป็นเวลานาน และต่างพากันแย่งถามในสิ่งที่ต้องการจะรู้กันอย่างล้นหลาม
แต่ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ เกือบจะจนมุม ในที่สุดอวี้ฉือซงก็ยื่นมือเข้ามาช่วย
“เอาล่ะ วันนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเขาเพิ่งกลับมาถึง ฉะนั้นเราควรปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อน ไว้วันหลังพวกเจ้าค่อยมาคุยกับพวกเขากันทีหลังก็ได้”
เมื่อเจ้าสำนักกล่าวเช่นนี้แล้ว แม้ว่าทุกคนจะไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ยังลุกขึ้นและยอมกลับแต่โดยดี
แต่เมื่อดูจากสีหน้าตื่นเต้นเหล่านั้นแล้ว เกรงว่าพอกลับไปแล้วพวกเขาคงไม่สามารถนอนหลับได้แน่ๆ
ศิษย์แต่คนทยอยกลับที่พักไปแล้ว แม้แต่มู่หงอวี่และคนอื่นๆ เองก็แยกย้ายกลับที่พักของตนเช่นกัน
และเหลือเพียงฉู่หลิวเยว่กับอวี้ฉือซงในห้องโถง
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่า ท่านอาจารย์มีบางอย่างที่อยากจะถามนาง
ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว อวี้ฉือซงก็หันมองนางพลันเอ่ยถามทันที
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า เจ้าเด็ดบัวระบำดอกนั้นมาแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
อวี้ฉือซงขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“เช่นนั้นเจ้าก็ได้เจอชายร่างสูงในชุดสีดำแล้วสิ?”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นไม่เป็นจังหวะ
ที่เขาถามมานั่น หรือว่าจะเป็น… เถ้าแก่ใหญ่?
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง อวี้ฉือซงก็เดาได้ทันที
ดูเหมือนว่าฉู่หลิวเยว่เองก็ได้เจอบุรุษผู้นั้นเช่นกัน
ทว่าย้อนกลับไปตอนนั้น อีกฝ่ายก็พูดชัดเจนแล้วว่า ดอกไม้ดอกนั้นเป็นของฮูหยินของเขา…แต่แล้วเหตุใดถึงยอมให้ฉู่หลิวเยว่เด็ดมันไปกันล่ะ?
“ตอนที่เจ้าเด็ดบัวระบำดอกนั้น… เขาไม่ได้ขัดขวางเจ้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยอย่างแปลกใจ
“เหตุใดเขาถึงต้องขัดขวางข้าหรือ?”
อันที่จริงแล้ว เป็นเถ้าแก่ใหญ่เองเสียด้วยซ้ำ ที่ดึงดันให้นางไปเด็ดมันมา!
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของอวี้ฉือซง ฉู่หลิวเยว่ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ความจริงแล้วข้ากับคนผู้นั้น…รู้จักกัน”
“พวกเจ้ารู้จักกันด้วยหรือ?”
อวี้ฉือซงตกใจมากกว่าเดิม
นี่ฉู่หลิวเยว่รู้จักบุรุษที่ทรงพลังอย่างหาเปรียบมิได้คนนั้นจริงๆ หรือ?
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
“เป็นเพราะเหตุการณ์บางอย่าง เขาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยข้าไว้หลายครา ดังนั้น…”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”
ในราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น ดูเหมือนจะไม่มีคนลักษณะเช่นนี้อยู่เลย…
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“สถานะของเขาลึกลับนัก สำหรับข้อมูลที่มากกว่านี้ ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน”
อวี้ฉือซงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่รู้จริงๆ เขาก็ไม่ได้ถามต่อ
หลังจากนั้น จู่ๆ เขาก็นึกอันใดขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ข้าเกรงว่าไม่นาน คงมีคนรู้เรื่องที่เจ้านำบัวระบำกลับมาได้เป็นแน่… และทางองค์หญิงสาม…”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่พลันยกโค้งขึ้น
“ท่านอาจารย์ ท่านกังวลว่าองค์หญิงสามจะมาหาข้า เพราะต้องการบัวระบำสินะคะ?”
ถ้าพูดให้ดูดีหน่อยก็คงใช้คำว่า “ต้องการ” แต่ความจริงแล้ว หากพูดตามนิสัยของซั่งกวนหว่านล่ะก็ คงต้องใช้คำว่า “ช่วงชิง” เสียมากกว่า
องค์หญิงสามผู้สูงศักดิ์ทรงออกตามหาสมุนไพรไปทั่วสารทิศ เพื่อหวังให้พลานามัยของฝ่าบาทดีขึ้น หากผู้ใดได้ฟังเช่นนี้แล้ว ย่อมมิได้เอะใจถึงความผิดปกติ
อวี้ฉือซงลังเลไม่ยอดพูด แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า
บัวระบำนั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่าอนึ่งพรสวรรค์ ที่แม้แต่ราชวงศ์เทียนลิ่งเองก็มิอาจมีในครอบครอง!
คุณค่าของมันนั้นมิใช่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
หากผู้ใดในโลกนี้ได้ครอบครองมันล่ะก็ เกรงว่าเขาคงรักและทะนุถนอมมันสุดหัวใจ
และถ้าถูกใครชิงมันไป… คนคนนั้นย่อมไม่ยินยอมเป็นแน่
อีกอย่าง นังหนูฉู่หลิวเยว่เองก็ทนทุกข์ทรมานผ่านร้อนผ่านหนาวในแดนภังคะมาเยอะ…
เขาลำบากใจมากจริงๆ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับดูเหมือนไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
นางยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับประกายวาววับในดวงตา
“หากนางต้องการ ก็ให้นางมาเอามันไปเสีย”
…
บรรยากาศทั่วทั้งสำนักชงซูเก๋อเต็มไปด้วยความปิติยินดีและความตื่นเต้น
ทว่ากลับมีใครบางคนในเมืองซีหลิงที่กำลังอารมณ์ไม่ดี
เจียงอวี่เฉิงเดินกลับไปตามทาง สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดโชยมา พัดผ่านไปตามชายเสื้อผ้าของเขา
เดิมทีเขาคิดว่า การทำเช่นนี้จักทำให้สร่างเมา แต่ไม่นานเขาก็พบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
เพราะในใจเขาเอาแต่คิดถึงฉากเมื่อครู่นี้
ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดสีแดง ผมยาวดำสลวยเสมือนริ้วเมฆาในยามราตรี
บนถนนที่คับคั่งไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา มีเพียงร่างของนางเท่านั้น ที่ดึงดูดสายตาของเขา
นางหันกลับมามองแล้วยิ้มให้กัน มันทั้งสวยงาม บริสุทธิ์ และน่าประทับใจ
เจียงอวี่เฉิงกลับไปยังจวนของตน ก่อนจะชะงักฝีเท้าเมื่อเดินมาถึงลานนอกจวน ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินไปยังห้องทรงงานแทน
เขาเข้าไปในห้องทรงงานคนเดียว พลางปิดประตูหน้าต่าง จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะและนั่งลง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็หยิบกล่องไม้จันทน์สี่เหลี่ยมออกมาจากใต้โต๊ะ
มีเสียง “กุกกัก” ดังออกมาเบาๆ และกล่องก็เปิดออก
รูปวาดใบหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ข้างในกล่อง
เจียงอวี่เฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบมันออกมาแล้วค่อยๆ กาง
มันคือภาพวาดของสตรีนางหนึ่ง
สตรีผู้นั้นยืนอยู่ริมทะเลสาบ นางแต่งกายด้วยชุดหรูหราราวเชื้อพระวงศ์ บนศีรษะติดกิ๊บทองคำ ซึ่งดูสง่างามและสูงศักดิ์อย่างมาก
และดูเหมือนว่าตอนนั้น นางอาจจะได้ยินอันใดบางอย่าง นางจึงมองย้อนกลับไป พร้อมรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ทว่ารอยยิ้มนั้นแตกต่างจากรอยยิ้มที่อ่อนโยน และสุภาพอ่อนน้อมในยามปกติของนาง เพราะมันแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และว่องไว ดวงตาของนางทอแสงราวกับดวงดาว
มันคือภาพของซั่งกวนเยว่!
ในภาพวาด รูปลักษณ์ของนางดูอ่อนเยาว์เสมือนเด็กอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนและสดใสราวเด็กเล็ก
แต่ระหว่างคิ้วและดวงตาของนาง กลับเปิดเผยให้เห็นถึงความงามอันน่าทึ่งที่ครั้งแรกแล้ว
นี่เป็นภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
ความจริงแล้ว แม้แต่ซั่งกวนเยว่เอง ก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเก็บภาพวาดดังกล่าวไว้
เดิมทีเขาอยากจะแสดงให้นางเห็น แต่กลับกลายเป็นว่า…
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าอันคุ้ยเคยดังมาจากด้านนอก!
เจียงอวี่เฉิงพลันขมวดคิ้ว
ดึกขนาดนี้แล้ว ซั่งกวนหว่านยังมาทำอันใดอีก!?
เขารีบเก็บรูปวาดลงไปโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
แต่ในขณะที่กำลังใส่มันลงกล่อง กลับมีคนเปิดประตูเดินเข้ามาเสียก่อน!
“อวี่เฉิง…”
ครั้นซั่งกวนหว่านกำลังจะตะโกน นางก็สังเกตเห็นเจียงอวี่เฉิงทำท่าซ่อนบางอย่างไว้ด้วยความตื่นตระหนก
นางขมวดคิ้วทันควัน
“นั่นเจ้ากำลังซ่อนอันใด?”