ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 851 วันก่อนแต่งงาน
ตอนที่ 851 วันก่อนแต่งงาน
“… เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้ ขณะนี้พวกข้าเองก็ไม่ทราบว่าเจ้าสิ่งนั้นไปอยู่ที่ใด และต่อให้ค้นหาเพียงใดก็หาไม่เจอ…”
ซย่าโหวหรงอธิบายเรื่องนี้อย่างกระอักกระอ่วน ในขณะที่ซย่าโหวถิงอันยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เสมือนยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
“เป็นเพราะข้ามิสั่งสอนบุตรให้ดี ทำให้เจ้าลูกชายหัวดื้อคนนี้ก่อเรื่องเช่นนั้นเสียได้ จริงอยู่ที่มันอาจถึงขั้นต้องโทษประหาร! ตะ แต่ว่า… ขอคุณชายใหญ่โปรดเห็นแก่หน้าข้า และไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด บางทีเขาอาจจำรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นได้…”
แต่ไหนแต่ไร ซย่าโหวหรงไม่เคยลดตัวก้มหัวอ้อนวอนใครเช่นนี้มาก่อนเลย
แต่เพราะตอนนี้เขาต้องทำเพื่อซย่าโหวถิงอัน ชายชราจึงต้องละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดของตัวเอง
ในใจของเจียงอวี่เฉิงเต็มไปด้วยโทสะ และเมื่อฟังจบ เขาก็แทบหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
“ใต้เท้าซย่าโหว ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอันใดอยู่?”
เสียงของซย่าโหวหรงพลันหยุดชะงัก
อันที่จริง เขาเองก็กระวนกระวายใจอย่างมาก
ทั้งเรื่องโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืนหายไป อีกทั้งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดหายนะอีก!
อีกฝ่ายวางแผนมาอย่างดีและเคลื่อนไหวได้อย่างเฉียบคม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมตัวมาดีมาก!
แต่ถ้าถูกเปิดโปงล่ะก็…
ผลที่ตามมาคงสาหัสเกิดคาดแน่ๆ!
ซย่าโหวหรงตัวสั่นและเช็ดเหงื่อบนหน้าผากด้วยแขนเสื้อ
ความจริงแล้วเขาไม่กล้าบอกเจียงอวี่เฉิงว่า สิ่งที่อีกฝ่ายพูดในวันนั้น อาจมีใครบางคนได้ยินเข้าแล้ว…
แต่ถ้าเจียงอวี่เฉิงรู้เข้า อย่าว่าแต่ช่วยชีวิตซย่าโหวถิงอันเลย แม้แต่เขาก็อาจจะโดนสั่งเก็บเช่นกัน!
ซย่าโหวหรงแย้งขึ้นอย่างไว
“คุณชายใหญ่ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดของพวกข้า แต่เหตุผลที่พวกข้ามาหาเจ้าในวันนี้นั้น นอกจากเพื่อสารภาพเรื่องนี้กับท่านแล้ว ข้ายังนำเรื่องที่สามารถช่วยชดเชยความผิดนี้มาแจ้งให้ท่านทราบด้วย”
เจียงอวี่เฉิงจ้องมองเขาสีหน้าเย้ยหยัน ราวกับได้ยินเรื่องตลก
“ชดเชยหรือ?”
“ชะ ใช่แล้ว… คุณชายใหญ่ ท่านลองคิดดูดีๆ ท่านคิดจะมีสักกี่คนบนโลก… ที่สามารถวางแผนอย่างถี่ถ้วน เพื่อขโมยโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืนเช่นนี้กัน?”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงเปลี่ยนไปทันที!
“เจ้าหมายถึง…”
“คุณชายใหญ่ คนพวกนั้น… ข้าเกรงว่าพวกเขาจะแอบกลับเข้ามาในซีหลิงแล้ว!”
…
ซั่งกวนหว่านกลับไปที่พระราชวังด้วยความโกรธ และเมื่อถึงตำหนักฮวาหยาง นางก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียยกใหญ่
นางไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เจียงอวี่เฉิงพูดมานั้นจริงหรือเท็จ
แต่ถ้าเจียงอวี่เฉิงตัดสินใจแน่วแน่ว่า เขาจะไม่ยอมยกโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืนให้นาง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่านางจะโวยวายเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์
ดังนั้น หลังจากได้ระบายความโกรธแล้ว ซั่งกวนหว่านก็คิดทบทวนอีกครั้ง แต่นางก็ยังเลือกที่จะฝืนซ่อมแซมชีพจรดั้งเดิมให้กลับมาสมบูรณ์!
หากเป็นเมื่อก่อน นางคงคิดถึงและทุ่มความหวังทั้งหมดไว้ที่เจียงอวี่เฉิง ทว่าคำพูดของเขาในวันนี้ ได้ทำลายความฝันอันแสนหวานของนางโดยสิ้นเชิง!
ไม่ว่าเขาจะตั้งใจพูดหรือไม่ก็ตาม แต่ซั่งกวนหว่านจะไม่ยอมยกโทษให้เด็ดขาด!
และหลังจากครุ่นคิดไปมาซ้ำๆ นางถึงรู้สึกได้ว่าพึ่งพาตัวเองนั้นย่อมดีกว่าพึ่งคนอื่น
ดังนั้น หลังจากวิเคราะห์อยู่นาน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจแล้วว่า จะเอาชีพจรดั้งเดิมของตนกลับคืนมาให้ได้!
…
วันรุ่งขึ้น พวกของฉู่หลิวเยว่ก็พากันไปส่งมู่หงอวี่กลับภูเขาเขี้ยวมังกร และข่าวที่ว่าพวกนางกลับมาจากแดนภังคะได้อย่างปลอดภัย ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองซีหลิงอย่างรวดเร็ว!
ขณะนี้ทุกคนล้วนซุบซิบอย่างออกอรรถรส และมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป
บางคนมีความสุข แต่บางคนก็อิจฉา
ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว แต่จู่ๆ พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แล้วมีหรือที่ปรากฏการณ์เช่นนี้ จะไม่ไปกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน?
และขณะเดียวกัน ก็มีอีกข่าวลือหนึ่งที่ดังกระฉ่อนไปทั่ว
…ตอนที่ฉู่หลิวเยว่ติดอยู่ในแดนภังคะ นางไม่เพียงแต่พิชิตอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ยังเด็ดบัวระบำกลับมาได้อีกด้วย!
ซึ่งข่าวสารทั้งสองอย่างนี้ ย่อมสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาริษยาและเกลียดชังไปตามๆ กัน
เพราะหากพูดถึงคนในราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมดแล้วล่ะก็ นอกจากองค์ไท่จู่ในตอนนั้น ก็ไม่มีเชื้อพระวงศ์คนไหนได้ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์อีก!
ไหนจะวัตถุดิบยาที่แสนล้ำค่าอย่าง บัวระบำ ที่จะบานเพียงครั้งเดียวในรอบห้าร้อยปีอีก!
ก่อนหน้านี้ องค์หญิงสามได้นำกองทัพทหารม้าทมิฬหนึ่งพันนาย และสาวกประจำสำนักวิชาต่างๆ หลายคน ไปยังแดนภังคะ เพื่อเอาเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์และขุมทรัพย์อันแสนล้ำค่าที่สุดในโลกาชิ้นนี้
แต่พวกเขาก็คว้าน้ำเหลว แต่กลับทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จนสุดท้ายต้องพากันเคลื่อนพลกลับบ้าน
เทียบกับฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้แล้ว…
ช่างน่าอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก
…
อีกด้านหนึ่ง หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลาสองวัน ในที่สุดซั่งกวนหว่านก็ฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของตนได้ทันก่อนวันอภิเษกสมรส!
และมันก็เป็นอย่างที่คิด ความแข็งแกร่งของชีพจรดั้งเดิมของนางนั้น…ยังเทียบกับคนที่มีชีพจรตี้จิงไม่ได้เลย
เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว สิ่งนี้อาจมิได้เลวร้ายนัก
แต่สำหรับตัวนาง พลังแค่นี้ยังห่างไกลจากคำว่าพอใจมากโข
ในเมืองซีหลิงแห่งนี้ มีอัจฉริยะมากมายที่เกิดมาพร้อมกับชีพรตี้จิง แต่นางในตอนนี้แทบไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ทำให้ซั่งกวนหว่านไม่พอใจอย่างมาก แต่นางก็ทำอันใดไม่ได้
เนื่องจากการฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมให้กลับมาเป็นปกตินั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
ซึ่งเมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของซั่งกวนหว่านก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ถ้าไม่ใช่เพราะการจุดไฟเผาตัวเองของซั่งกวนเยว่ ที่ส่งผลให้ชีพจรดั้งเดิมของนางถูกทำลายไปด้วยล่ะก็…
นางคงไม่รู้สึกตกต่ำอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก!
แต่พอคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันมงคงสมรสของตัวเองแล้ว ซั่งกวนหว่านก็พยายามระงับความขุ่นเคืองในใจ และเตรียมจะไปเยี่ยมผู้เป็นบิดาว่ายังอยู่ดีหรือไม่
ซั่งกวนหว่านสั่งให้ฉานอี้ไปที่ตำหนักชิงเฟิงกับนาง
ทว่าระหว่างทางนั้น ซั่งกวนหว่านกลับพบว่าบรรยากาศในพระราชวัง ดูผิดแปลกไปเล็กน้อย
แต่นางไม่สามารถบอกได้ว่ามันเกิดปัญหาอันใด นางแค่รู้สึกว่า… สายตาที่คนในวังใช้มองนางนั้น ดูแตกต่างไปจากเดิม ราวกับมีนัยแอบแฝง
เมื่อนางเดินมาถึงนอกตำหนักชิงเฟิง และกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงกระซิบมาจากด้านในของประตู
“นี่ๆ พวกเจ้าได้ข่าวหรือเปล่า? ฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้วนะ!”
คำพูดเหล่านี้เปรียบเสมือนสายฟ้า ที่ผ่าลงมากลางใจของซั่งกวนหว่าน!
นางตกตะลึงไปชั่วขณะ
ฉู่หลิวเยว่… กลับมาแล้ว!?
เป็นไปได้อย่างใด นางตายไปแล้วมิใช่หรือ!?
ฉานอี้ที่ได้ยินดังนั้น ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตำหนิเจ้าของเสียงด้านใน แต่ซั่งกวนหว่านรั้งนางไว้เสียก่อน
เสียงของบ่าวรับใช้ในวังเหล่านั้นดังขึ้นทีละคนๆ
“ไม่รู้กันหรอกหรือ? แต่ไม่ใช่แค่นางนะ เหล่าศิษย์จากชงซูเก๋อคนอื่นๆ เองก็กลับมาอย่างปลอดภัยเช่นกัน!”
“ไม่น่าเชื่อใช่หรือไม่!? แต่ประเด็นก็คือ…เห็นว่านางได้ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ! อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวเป็นๆ เลย! แถมได้ยินมาว่า นางนำบัวระบำกลับมาได้ด้วย… ไอ้เจ้าสมบัติล้ำค่าที่ทำร้ายองค์หญิงสามจนได้รับบาดเจ็บนั่นน่ะ!”
“เดิมทีทุกคนล้วนกล่าวว่าฉู่หลิวเยว่ตายแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าฉู่หลิวเยว่จักคว้าโอกาสเช่นนี้ได้อย่างง่ายดายราวกับฟ้าลิขิต! นี่มันไม่ต่างจากการตบหน้าองค์หญิงสามเลยหรือ? นางพาคนออกไปมากมายเช่นนั้น ไหนจะเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อันใดกลับมา อีกทั้งยังกลายเป็นว่า นางสู้สาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ยืนหยัดเพียงลำพังไม่ได้… ถ้าข้าเป็นองค์หญิงสาม ข้าคงอายจนอยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนี!”