ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 856 ความรู้สึกที่เก็บไว้ไม่มิด
ตอนที่ 856 ความรู้สึกที่เก็บไว้ไม่มิด
“ข้าตกลง!”
ซั่งกวนหว่านคิดทบทวนไปมา แต่สุดท้ายมีเพียงต้องยอมตอบตกลงเท่านั้น
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่คือคนที่กำขุมทรัพย์อยู่ในมือ นางจึงทำตัวยโสโอหังเช่นนี้ แต่นางจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจไปก่อน เอาไว้รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นเมื่อไร นางจะชำระความแค้นทั้งเก่าและใหม่กับอีกฝ่ายอย่างสาสมเลย!
ริมฝีปากบางของฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้ม
“แค่องค์หญิงสามยอมตกลงตั้งแต่แรกก็จบแล้ว อย่างใดเสีย พระวรกายของฝ่าบาทก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ท่านว่าหรือไม่?”
ซั่งกวนหว่านแทบสำลัก พลางคิดว่าฉู่หลิวเยว่ตรงหน้านางนั้นช่างร้ายกาจเสียจริง!
นางลดเสียงต่ำลง พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า! ไม่อย่างนั้น… ข้าจะจัดการเจ้าเสีย!”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่อย่างไม่แยแสและยิ้มเยาะเบาๆ
หลังจากนั้น ซั่งกวนหว่านก็หมุนตัวเดินนำออกไปก่อน
ฉานอี้ที่รออยู่ด้านนอกก็พลันรีบถวายบังคม และแอบชำเลืองมองทั้งสองคนไปมา
ใบหน้าขององค์หญิงสามนั้นยังมีร่องรอยของโกรธาหลงเหลืออยู่ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับดูผ่อนคลายเสียอย่างนั้น
ดูๆ แล้ว… คงเจรจากันได้ไม่ค่อยดีเสียเท่าไร
“ไปตามจั่วหมิงซีมา”
ซั่งกวนหว่านกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“เจ้าค่ะ!”
ฉานอี้ไม่กล้าถามอันใดอีก และส่งคนไปที่นั่นทันที
ซั่งกวนหว่านหันกลับมามองฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่ง
“ส่วนเจ้า ตามข้าไปที่ตำหนักชิงเฟิง!”
…
ตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉู่หลิวเยว่เข้าวัง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มายังตำหนักชิงเฟิง
ก่อนหน้านี้นางเคยพยายามลอบเข้ามาที่นี่อยู่เหมือนกัน ทว่าตำหนักแห่งนี้มีการคุ้มกันที่แน่นหนาและยากที่จะเข้าใกล้ได้ ดังนั้นมิอาจหุนหันพลันแล่นทำการใดได้
และจะเห็นได้ว่า ซั่งกวนหว่านให้ความสำคัญกับตำหนักชิงเฟิงมาก
ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่เพราะท่านพ่อของนางอยู่ที่นี่ แต่มันเป็นเพราะนางอยากให้ท่านหลับพักผ่อนโดยไม่มีใครเข้าไปรบกวนต่างหาก
และด้วยมาตราการที่เข้มงวดเช่นนี้ ทำให้ยากที่เชื้อพระวงศ์องค์อื่นจะเข้ามาที่นี่ได้ และถ้าอยากเข้าไป ก็จำต้องมีเหตุผลสำคัญจริงๆ เท่านั้น
บริวารในตำหนักชิงเฟิงต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ที่เห็นซั่งกวนหว่านพาฉู่หลิวเยว่มาด้วย
และพอได้ยินซั่งกวนหว่านกล่าวว่า ฉู่หลิวเยว่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบฝ่าบาทด้านใน หลายๆ คนก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เนื่องจากทุกคนต่างรู้ว่า โดยปกติแล้วการเข้าออกสถานที่แห่งนี้ นอกจากเซียนหมอสามคนที่คอยแวะเวียนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมีเพียงองค์หญิงสามและองค์ชายใหญ่เจียงเท่านั้น ที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ
ซึ่งการที่คนอย่างฉู่หลิวเยว่… ได้รับอนุญาตให้เข้าไปนั้น สร้างความตกใจให้พวกเขามากจริงๆ
อย่างใดก็ตาม พวกเขาก็ได้ลองพิจารณาอีกครั้ง พลันตระหนักได้ว่าในตัวของฉู่หลิวเยว่นั้น มีทั้งอสูรศักดิ์สิทธิ์และบัวระบำ ดังนั้นการที่องค์หญิงสามเชิญนางมา จึงฟังดูสมเหตุสมผล…
ซั่งกวนหว่านยังไม่ได้พาฉู่หลิวเยว่เขาไปด้านใน แต่เลือกที่จะรอจั่วหมิงซีอยู่ในศาลาข้างๆ ตำหนักแทน
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่
แต่ฉู่หลิวเยว่เคยชินกับสิ่งเหล่านี้แล้วและไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ตั้งแต่หัวจรดเท้า นางวางตัวอย่างนอบน้อมและดูสุภาพอ่อนโยน
คำพูดและการกระทำของนางดูสมบูรณ์แบบ เสมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมจากตระกูลผู้ดีมั่งคั่ง อีกทั้งยังดูใจกว้างน่าคบหา
ค่อนข้างแตกต่างจากภาพลักษณ์เด็กจอมอวดดีในตำหนักฮวาหยางก่อนหน้านี้ลิบลับ!
สองหูแอบฟังเสียงกระซิบกระซาบของคนรับใช้เหล่านั้น
“… นั่นน่ะหรือฉู่หลิวเยว่… เมื่อก่อนเคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือ ข้าเพิ่งเคยเห็นนางครั้งแรกก็วันนี้นี่แหละ สมกับที่เขาลือกันจริงๆ ด้วย!”
“ทั้งการวางตัวและรูปร่างหน้าตาที่ไม่ธรรมดา… ไหนจะความสามารถระดับแนวหน้าอีก น่าอิจฉาจริงๆ…”
“ข้าได้ยินว่านางมาจากครอบครัวสามัญชนทั่วไป แต่ตอนนี้นางได้ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ซึ่งถ้าได้ครอบครองพลังอำนาจเช่นนี้ ประเด็นเรื่องภูมิหลังของนางก็ไม่สำคัญแล้ว…แถมบุคลิกที่สง่างามเช่นนี้ เอาจริงข้าแทบดูไม่ออกว่านางโตมาจากครอบครัวเล็กๆ โดยเฉพาะกลิ่นอายของผู้ดีที่แผ่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น…”
ซั่งกวนหวานที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้
ย้อนกลับไปเมื่อก่อน ตอนที่นางได้พบฉู่หลิวเยว่อยู่สองสามครั้ง นางรู้สึกได้ว่าฉู่หลิวเยว่ยังมีการยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง แต่พอหลังจากกลับมาจากป่าหมอกมายา ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทำกิริยาป่าเถื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน อีกฝ่ายกลับแสร้งทำตัวเรียบร้อยไร้พิษสง
น่าขยะแขยงจริงๆ!
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจสายตาโกรธแค้นและอิจฉาของซั่งกวนหว่าน
เพราะสาเหตุหลักๆ ที่วันนี้นางมาที่นี่ก็เพื่อมาดูอาการของท่านพ่อให้เห็นกับตา
แม้ชีหานจะรายงานว่าพระวรกายของท่านพ่อดีขึ้นมากแล้ว แต่นางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นนางจึงยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
และเมื่อนึกถึงบิดาของตนที่ถูกคุมขังไว้ในตำหนักชิงเฟิงมาตลอดสองปี และไม่สามารถแม้แต่จะลุกจากเตียงได้ด้วยตัวเอง ฉู่หลิวเยว่ก็พลันรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม จั่วหมิงซีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาอย่างไว
พร้อมกับใครบางคนที่ตามเขามาด้วย
เจียงอวี่เฉิง!
“กระหม่อมมาช้า องค์หญิงสามโปรดให้อภัยด้วยเถิด”
จั่วหมิงซีก้าวเท้ามาข้างหน้าสองสามก้าว พลันรีบแสดงความเคารพต่อนาง
ซั่งกวนหว่านมองเขา ทว่าไม่ได้โต้ตอบ แต่พอเห็นเจียงอวี่เฉิง ขนงเรียวสวยก็พลันขมวดมุ่นทันที
“อวี่เฉิง เจ้ามาที่นี่เหตุใด?”
เจียงอวี่เฉิงเริ่มอธิบาย
“เมื่อครู่ใต้เท้าจั่วคุยธุระอยู่กับข้า แต่พอทราบข่าวจากสำนักพระราชวัง ก็พลอยรู้สึกกังวลใจนัก เราสองคนจึงตัดสินใจเข้าตำหนักมาด้วยกัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็เบี่ยงสายตาไปมองฉู่หลิวเยว่เล็กน้อย
อันที่จริงตอนแรกเขาไม่อยากมาเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากได้ยินคนในวังพูดว่าซั่งกวนหว่านมีรับสั่งให้ฉู่หลิวเยว่เข้าวัง เขาก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตามมา
หลังจากแยกกันท่ามกลางแสงโคมไฟในคืนนั้น สองสามวันมานี้เขาก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย ทว่าภาพวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขาเขาไม่จางหาย
ยิ่งคิดถึงมัน เขาก็ยิ่งอยากเจอนาง
และในเมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นแล้ว เขาย่อมไม่สามารถกำจัดมันได้
ประกอบกับข่าวล่าสุดที่ว่า ฉู่หลิวเยว่ได้ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธ์เพื่อนำบัวระบำกลับมา ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองซีหลิงอีก นั่นยิ่งทำให้เขาคิดเรื่องของนางอย่างจริงจังมากกว่าเดิม
แต่ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่สนใจการจ้องมองของเขา และคุกเข่าลงเพื่อคารวะ
“ถวายบังคมองค์ชายใหญ่ และคารวะใต้เท้าจั่ว”
ผิวพรรณของเด็กสาวตรงหน้านั้นขาวผ่องราวหิมะ ดวงตาสดใสและอ่อนโยน ดวงหน้ามนปราศจากเครื่องสำอาง แต่ก็ยังงดงามเสียจนคนมองลุ่มหลงเสียทุกครา
เจียงอวี่เฉิงเผลอใจเต้นผิดจังหวะ
แต่ซั่งกวนหว่านที่อยู่ข้างๆ กลับสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สายตาที่เจียงอวี่เฉิงใช้มองฉู่หลิวเยว่นั้น… ทำให้นางไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
และไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็นึกถึงม้วนภาพวาดที่เจียงอวี่เฉิงรีบเก็บเข้าลิ้นชักในวันนั้นขึ้นมา
พลันเกิดความหวาดระแวงขึ้นในใจของนางกระทันหัน
“พวกเราเข้าไปตรวจพระวรกายของฝ่าบาทกันก่อน ดีหรือไม่เจ้าคะ?” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยทำลายความเงียบ
เจียงอวี่เฉิงยิ้ม พลางตอบกลับเสียงนุ่มทุ้ม
“ตกลง”
ทันใดนั้น หัวใจของซั่งกวนหว่านก็หวีดร้องลั่นราวเสียงระฆังเตือนภัย!