ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 858 ใบหน้าที่แท้จริง
ตอนที่ 858 ใบหน้าที่แท้จริง
ถวนจื่อพยักหน้าตอบ จากนั้นมันก็ใช้กรบเล็บจากอุ้งเท้าข้างหนึ่ง เจาะเข้าไปในอุ้งเท้าอีกข้างอย่างนุ่มนวล และหยดไข่มุกโลหิตสีแดงฉานก็ไหลออกมา!
ต่อมาไข่มุกโลหิตก็ลอยขึ้นมาช้าๆ ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือออกไป พลันไข่มุกโลหิตเหล่านั้นก็ลอยเข้ามาอยู่ในฝ่ามือของนางอย่างเงียบเชียบ
ซึ่งหากเพ่งมองใกล้ๆ ก็จะเห็นชั้นแสงสีสันสดใสปกคลุมอยู่
มีแรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากพวกมัน!
สิ่งนี้…คือโลหิตของอสูรศักดิ์สิทธิ์ กษายะหางวายุ!
ทั้งซั่งกวนหว่านและจั่วหมิงซี ต่างจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจและคาดหวัง
มันถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของราชวงศ์เทียนลิ่งเชียวนะ!
น้อยคนนักที่จะได้เห็นอันใดแบบนี้ในชีวิตด้วยตาตัวเอง!
ทว่ายามนี้ เจ้าสิ่งนี้ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ทำทียื่นกล่องไม้ให้จั่วหมิงซี
“ใต้เท้าจั่ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?”
“พอแล้วๆ!”
จั่วหมิงซีรีบดึงสติกลับมา พร้อมพยักหน้าระรัว มันยากที่จะซ่อนความตื่นเต้นของเขาไว้ได้
ในฐานะเซียนหมอแล้ว การได้เห็นสมบัติล้ำค่าหายากที่สุดในโลกเช่นนี้ มันทำให้เขามีความสุขมาก!
และในปัจจุบัน โอกาสที่จะได้ใช้วัตถุดิบเหล่านี้ในการเคี่ยวยา ก็หายากยิ่งนัก!
“หากมีวัตถุดิบเหล่านี้ กระหม่อมเชื่อว่าไม่นานพระวรกายของฝ่าบาท จักต้องดีขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน!”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็พลอยวางใจ ก่อนจะยื่นกล่องไม้และไข่มุกโลหิตให้อีกฝ่ายไป
จั่วหมิงซีรับมาอย่างระมัดระวัง
และเพื่อความปลอดภัย เขาก็ย้ายมันออกจากล่องไม้ ไปใส่หม้อต้มโอสถสำริดของตนแทน
เปลวไฟลุกกลมสีส้มลุกไหม้อยู่ในหม้อต้มโอสถ!
จั่วหมิงซีโยนสมนุไพรสองสามอย่างลงไปในหม้อ ก่อนจะทำการเคี่ยวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ใส่บัวระบำลงไปอย่างระมัดระวัง
กลีบดอกโปร่งใสและสวยงามม้วนตัวอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มละลายอย่างช้าๆ และควบแน่นเป็นไข่มุกธาราสีขาว
เมื่อมองรวมๆ แล้วอย่างกับก้อนหิมะเล็กๆ ก็มิปาน
และสุดท้ายจั่วหมิงซีก็ใส่เลือดของถวนจื่อเข้าไป
ไข่มุกธาราสองหยดเริ่มหลอมรวมกันอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม วัตถุดิบยาทั้งหมดในหม้อต้มโอสถก็หลอมรวมกัน!
ทว่าเนื่องจากคราวนี้พวกเขาไม่ได้กลั่นโอสถให้เป็นเม็ดยา จึงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นมากนัก
แต่ยาต้มที่อยู่ในหม้อต้มโอสถนั้น กลับปรากฏบีบอัดของมวลพลังขึ้นจางๆ! อย่าได้ประเมินมันต่ำเกินไปเชียว!
จั่วหมิงซีแทบจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดน้อยๆ นั่นหมายความว่าเขากำลังสูญเสียพลังไปกับการเคี่ยวโอสถตรงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือบัวระบำ ล้วนแล้วแต่มีพลังที่แข็งแกร่ง
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับสมดุลของยาให้ไปในทางเดียวกันได้
ในท้ายที่สุด ทันทีที่จั่วหมิงซีสะบัดแขนเสื้อ ยาน้ำในหม้อก็ย้ายไปอยู่ในชามหยก
ซั่งกวนหว่านยืนอยู่ข้างๆ พลางจ้องมองที่ชาม และกำลังขยับตัว
ถ้านางสามารถใช้ยานี้กับตัวเองได้ล่ะก็…
ความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และแม้แต่รอยแผลเป็นบนใบหน้า ก็อาจจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ด้วย!
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ความปรารถนาในใจของนางก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
แต่น่าเสียดายที่พวกเขามีบัวระบำเพียงอันเดียว และตอนนี้มันก็ถูกใช้ไปแล้ว
ทว่าเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น…
ยังมีกษายะหางวายุของฉู่หลิวเยว่อยู่มิใช่หรือ?
“องค์หญิงขอรับ”
จั่วหมิงซีส่งชามยาต้มให้นาง
“ท่านโปรดนำมันไปถวายฝ่าบาทเถิด?”
ซั่งกวนหว่านจ้องมองเขาพักหนึ่ง พลันรีบดึงสติกลับมา
นางพยักหน้าแล้วรับชามมา และก้าวไปข้างหน้าเพื่อปัดม่านออก พลางนั่งลงข้างเตียง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง นางต้องการมองเห็นสีหน้าของบิดา แต่น่าเสียดายที่ถูกซั่งกวนหว่านบังจนแทบมองไม่เห็นอันใดเลย
ในใจนางรู้สึกหวาดหวั่น ก่อนจะดึงสายตากลับมาเพื่อปกปิดความคิดและความห่วงใยเหล่านั้นไว้
ด้วยอนุภาคของยาต้มนี้ ร่างกายของท่านพ่อน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้าง
เหตุผลที่นางจงใจปล่อยข่าว และยืนยันจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็เพื่อให้แน่ใจว่าท่านพ่อได้รับยาแล้วจริงๆ
และตอนนี้นางก็วางใจไปได้เปราะหนึ่งแล้ว
ส่วนซั่งกวนหว่านนั้น หลังจากป้อนยาต้มไปได้พักหนึ่งแล้ว นางก็หันกลับมามองทั้งสองคน
“ที่นี่มีข้าอยู่ดูแลแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อนเลยก็ได้”
ทว่าในขณะที่จั่วหมิงซีกำลังจะถอยออกไป ฉู่หลิวเยว่กลับระเบิดหัวเราะออกมา
“พอดีว่าวันนี้ข้าเองก็ไม่ได้ติดธุระด่วนอันใด ข้าขออยู่ดูท่านป้อนยาฝ่าบาทดีกว่า อย่างใดเสียวัตถุดิบเหล่านั้นก็เป็นของข้า ถ้าข้าปลีกตัวไปตอนนี้แล้วเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ข้าว่าเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ ท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่ องค์หญิงสาม?”
พอได้ยินสิ่งนี้ จั่วหมิงซีที่กำลังจะก้าวเท้าออกไป ก็พลันชะงักฝีเท้าทันที
“ใช่แล้ว!”
ยานี้เป็นยาต้มที่เขาเคี่ยวขึ้นมาเอง หากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ จักทำอย่างใดเล่า?
“ชะ… เช่นนั้นข้าน้อยเองก็ขออยู่ด้วย?”
จั่วหมิงซีเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก และเขยิบตัวไปยืนอยู่ข้างๆ
ซั่งกวนหว่านเริ่มไม่สบอารมณ์
เดิมทีนางต้องการไล่ทั้งสองคนกลับไป เพราะอยากจะเอายาต้มอีกครึ่งชามที่เหลือมาเป็นของตัวเอง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว
ภายใต้การจ้องมองของทั้งสองแบบนี้ ซั่งกวนหว่านจึงทำได้เพียงป้อนยาต้มให้ท่านพ่อของตนจนหมดชามเท่านั้น
ในท้ายที่สุด นางก็วางชามที่ว่างเปล่าไว้ข้างตัว แล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า
“เรียบร้อย ข้าป้อนยาจนหมดแล้ว ทีนี้ก็ให้ท่านพ่อได้พักผ่อนได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองสีหน้าของบิดาหลังทานโอสถ ก่อนจะเห็นว่ามันดีขึ้นมาก และนั่นทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของนางสงบลงด้วย
“ในเมื่อฝ่าบาททรงได้รับยาต้มแล้ว เช่นนั้น… ก็หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวเลยแล้วกัน”
พูดจบนางก็เตรียมหมุนตัวเดินออกไป
“รอเดี๋ยว!”
แต่จู่ๆ ซั่งกวนหว่านกลับส่งเสียงเรียกรั้งนางไว้
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้าอีก”
ครั้นสิ้นสุรเสียงและไม่รอให้ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับ ซั่งกวนหว่านก็หันไปมองจั่วหมิงซี
“ทางที่ดีควรมีคนเฝ้าท่านพ่ออยู่ที่นี่ ฉะนั้นข้าขอรบกวนใต้เท้าจั่วอยู่ดูท่านพ่อให้ข้าสักพักหนึ่ง”
จั่วหมิงซีตอบกลับทันควัน
“กระหม่อมจักทำให้ดีที่สุด”
จากนั้นซั่งกวนหว่านก็เดินออกไปด้านนอก และพอผ่านฉู่หลิวเยว่ นางก็เหลือบมองอีกคนอย่างสื่อความหมาย
“เจ้ามากับข้า”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงและเดินตามไป
ทั้งสองออกจากห้องโถงหลักของตำหนักชิงเฟิง และมาที่ยังห้องรับรองที่เล็กกว่า
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ฉานอี้ก็จัดการปิดประตูทันที
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองประตูบานใหญ่ที่ถูกปิด แล้วหัวเราะเบาๆ
“องค์หญิงสาม นี่ท่านคิดจะทำอันใดหรือ?”
ซั่งกวนหว่านเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พร้อมออกคำสั่งอย่างถือดี
“ข้าต้องการเลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า”
ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่เดาออกตั้งแต่ต้นแล้วว่านางต้องการจะทำสิ่งใด แต่นางก็ยังทำท่าตกใจและขมวดคิ้วเชิงสงสัย
“องค์หญิงสามน่าจะรู้ว่า การกลั่นเอาเลือดที่ควบแน่นของอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มิใช่หรือ? เมื่อครู่ถวนจื่อก็กลั่นมันออกมาแล้ว และถ้าจะให้ท่านอีกรอบ… ข้าเกรงว่ามันคงได้ขาดเลือดตายก่อนช่วยใครแน่ๆ”
ซั่งกวนหว่านหัวเราะเยาะไม่หยุด
“อย่ามาแกล้งโง่ต่อหน้าข้าเสียให้ยากเลย ฉู่หลิวเยว่! เมื่อก่อนข้าถูกสัตว์ร้ายตัวนี้ข่วนและทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้า เป็นบุญแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ลงโทษเจ้ากับอสูรศักดิ์ตัวนั้น! และถ้าเจ้าฉลาดพอ ก็จงมอบเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าเสียดีๆ!”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองอีกฝ่าย พลันกอดอกแล้วเอามือข้างหนึ่งค้ำปลายคางไว้
“ที่ท่านพูดมาก็ไม่ใช่ฟังดูไร้แก่นสารเสียทีเดียว เพราะสุดท้าย… รูปลักษณ์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงทุกคน พรุ่งนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของท่าน ถ้าใบหน้าของท่านยังเต็มไปด้วยแผลเป็นเช่นนี้ มันคงดูไม่เหมาะไม่ควร และยิ่งไปกว่านั้น ถึงช่วงนี้ท่านจะปกปิดมันได้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนมันได้ตลอดชีวิต อย่างใดเสีย สักวันใบหน้าที่แท้จริงก็ต้องถูกเปิดเผยให้ทั่วทั้งโลกได้รับรู้!”
“ท่านพูดเองมิใช่หรือ?”