ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 880 เจ้าว่ามันบังเอิญหรือไม่
ตอนที่ 880 เจ้าว่ามันบังเอิญหรือไม่?
เจียงอวี่เฉิงยังคงรับมือกับมันได้ดีเหมือนเดิม จึงตอบว่า
“สิ่งที่องค์หญิงใหญ่คิดนั้นคนอื่นไม่มีทางรู้ แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า ในงานวันที่สองนั้น นอกจากงานมงคลสมรสแล้ว ยังมีงานราชาภิเษกอีกด้วย บางทีที่นางทำเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะนางจะต้องหยิบคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางมีเส้นชีพจรเทียนจิง สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปแล้ว การเลื่อนขั้นไปสู่ระดับเก้านั้น แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ทว่าสำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก”
คำพูดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
หลังจากที่องค์หญิงใหญ่เกิดได้ไม่นาน ก็ได้ค้นพบว่า เส้นชีพจรของนางคือเส้นชีพจรเทียนจิง หลายปีต่อมา นางก็อยู่ในจุดสูงสุดในศาสตร์แขนงต่างๆ ของราชวงศ์เทียนลิ่งมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะด้านการต่อสู้ ด้านค่ายกล หรือด้านเซียนหมอ นางล้วนแล้วแต่จะเป็นจุดสูงสุด!
หากนางจะมีความคิดเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดและพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากองค์หญิงใหญ่ตั้งใจที่จะทะลวงด่านแล้วเหตุใดนางถึงไม่ไปอยู่ที่ตำหนักของตนเองละ แต่กลับไปอยู่ที่หอบรรพกษัตริย์? ข้าจำได้ว่าหอบรรพกษัตริย์ของราชวงศ์เทียนลิ่งถูกทำลายเพราะสาเหตุนี้ไม่ใช่หรือ?”
“องค์หญิงใหญ่มีฐานะเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์เทียนลิ่ง การที่นางจะไปหอบรรพกษัตริย์มันมีอันใดไม่ถูกต้องกัน?” เจียงอวี่เฉิงถามกลับ
“แน่นอนว่าไม่มีอันใดไม่ถูกต้อง หากพูดตามคำพูดนี้ แต่ก่อนหน้านี้องค์หญิงใหญ่อยู่ที่หอบรรพกษัตริย์มาทั้งวันทั้งคืนเลยหรือ? และคุณชายใหญ่เจียง… ท่านก็คอยยืนปกป้องเช่นนั้นมาตลอดเลยหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ในเรื่องนี้สามารถให้องครักษ์ที่คอยรับใช้ในวันนั้นเป็นพยานได้”
เรื่องนี้เจียงอวี่เฉิงได้ตอบคำถามมาหลายร้อยรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย
เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองไปทางฉู่หลิวเยว่ก่อนจะพูดเสียงเย็นว่า
“หากเจ้าบอกว่านี่คือการตรวจสอบใหม่อีกครั้ง ด้วยการถามคำถามซ้ำๆ เดิมๆ เช่นนี้ ข้าก็ต้องขอบอกเจ้าไปไว้ก่อนเลยว่ามันไม่ได้มีความหมายอันใดเลย หากเจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องในปีนั้นจริงๆ แล้วละก็ ก็หยิบหลักฐานขึ้นมาพูดสิ ไม่เช่นนั้น…ก็ไม่จำเป็นต้องสืบสวนต่อไปหรอก”
“รีบร้อนอันใดกัน…ข้ายังถามไม่เสร็จเลย”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย แล้วหันไปมองอวี้ฉือซงที่ยืนอยู่ด้านข้างแทน
“อาจารย์ ท่านน่าจะมีเรื่องที่อยากจะถามคุณชายใหญ่เจียงสินะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงหันไปมองที่อวี้ฉือซงโดยพร้อมเพรียง
อวี้ฉือซงพยักหน้า แล้วมองไปทางเจียงอวี่เฉิงแล้วพูดเสียงเรียบ
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปที่เรือนฉินในสวนเทพเนรมิตครั้งหนึ่ง เพราะว่าต้องการหยิบของล้ำค่าที่ยังทิ้งไว้อยู่ด้านในนั้น แต่ว่า…ด้านในนั้น กลับพบว่าที่ฉินหางเฟิ่งขององค์หญิงใหญ่มีอันใดบางอย่างผิดปกติไป”
เมื่อได้ยินคำว่า “ฉินหางเฟิ่ง” หัวใจของเจียงอวี่เฉิงก็กระตุกวาบทันที
“ทุกคนต่างก็รู้ว่าก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะสิ้น นางชอบฉินตัวนั้นมาก แต่ข้าผู้เฒ่ากลับได้พบค่ายกลลึกซึ้ง ที่องค์หญิงใหญ่ได้ทิ้งไว้บนนั้นด้วย!”
อวี้ฉือซงจ้องไปที่เจียงอวี่เฉิงตาเขม็งก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาทีละคำว่า
“แม้ว่าข้าผู้เฒ่าจะไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านค่ายกล แต่ข้าก็มีความรู้ในด้านนี้เล็กน้อย องค์หญิงใหญ่ได้วางค่ายกลระดับสามที่ลึกซึ้งเอาไว้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ค่ายกลนั้นมีชื่อว่า “ค่ายกลกักขังมังกร!”
“หากมันไม่มีอันใดจริงๆ แล้วเหตุใดองค์หญิงใหญ่ที่ชอบฉินตัวนี้มาก จะวางค่ายกลไว้ที่มันเหตุใด? ตามความคิดเห็นของข้าแล้ว เรื่องระดับและพลังมันไม่ควรค่าแก่การพูดถึงหรอก ชื่อของค่ายกลต่างหาก ที่มีความหมายที่ลึกซึ้ง!”
“ค่ายกลกักขังมังกร…หมายความว่ามังกรถูกขัง ต้องการขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ภายนอก! เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นนางจึงตั้งใจทิ้งค่ายกลเอาไว้ เพื่อส่งสัญญาณว่าตนเองกำลังถูกคนหักหลัง!”
ทันทีที่คำพูดนั้นดังขึ้น ทุกคนก็ตกใจอย่างมาก!
ซึ่งถ้าสิ่งที่อวี้ฉือซงพูดเป็นความจริง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว!
ต้องบอกก่อนว่า องค์หญิงใหญ่มีความสามารถโดดเด่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว นางไม่มีทางวางค่ายกลระดับต่ำอย่างระดับสามไว้ที่ของล้ำค่าเช่นนี้แน่นอน!
อวี้ฉือซงอธิบาย และมันมีคำตอบเดียวเท่านั้นที่สมเหตุสมผล!
เจียงอวี่เฉิงตกใจอย่างมาก มือทั้งสองข้างกำหมัดกรอด
เขาประมาทเกินไป!
เขาดูแลเรือนฉินมาสองปี แต่กลับไม่เคยสังเกตเห็นถึงสัญญาณลับที่ว่านั้นเลย
ในตอนนั้นตอนที่ยังอยู่ในเรือนฉิน ซั่งกวนเยว่เล่นฉินเสร็จเขาได้นำถ้วยชาถ้วยสุดท้ายมาให้ซั่งกวนเยว่ และหลอกล่อให้นางดื่มยาพิษ
หลังจากนั้นนางก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติไป นางจึงต้องการต่อต้าน
แต่นางในตอนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจียงอวี่เฉิงอีกต่อไปแล้ว สุดท้ายนางก็ถูกเขาพาเข้าวังไปอย่างลับๆ แล้วพาไปยังหอบรรพกษัตริย์
ในตอนนั้นเขาคิดว่าแผนการทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นงดงามแล้ว แต่ในตอนนี้ที่เพิ่งย้อนกลับไปคิดก็นึกได้ว่านางพยายามยืนหยัดอยู่ข้างฉินหางเฟิ่งอยู่เป็นเวลานานสองนาน
หรือว่าจะเป็นเพราะค่ายกล ได้วางขึ้นในตอนนั้นเอง?
เจียงอวี่เฉิงพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า
“เจ้าสำนักอวี้ฉือ จะพูดอันใดต้องมีหลักฐานนะขอรับ”
อวี้ฉือซงพูดขึ้นทันที
“เจ้าเป็นคนดูแลเรือนฉินมาตลอด ขอเพียงแค่ส่งคนไปเอาฉินหางเฟิ่งมาที่นี่ ทุกคนก็จะได้ทราบความจริงแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนหลายคนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดขึ้นนั้นมีเหตุผลอย่างมาก จึงทยอยมองไปทางเจียงอวี่เฉิง
เจียงอวี่เฉิงเม้มริมฝีปากแน่น
ในตอนนั้นเขาก็นึกออกแล้วว่าตอนที่อวี้ฉือซงมองฉินในเรือนแล้วชะงักไปนั้นหมายความว่าอย่างใด คาดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเขาจะค้นพบความลับข้อนี้แล้ว!
มิน่าล่ะท่าทางของเขาจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก ที่แท้ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ปักใจไปแล้วว่าจะต้องมีคนทำร้ายซั่งกวนเยว่อย่างแน่นอน!
เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทที่สุดของซั่งกวนเยว่ และเขาเป็นคนที่พาซั่งกวนเยว่มาเล่นฉินที่เรือนนี้บ่อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด!
“ฉินหางเฟิ่งหลังนั้น…มันหายไปก่อนหน้านี้แล้ว”
เจียงอวี่เฉิงสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้ เขาดีใจอย่างมากที่ฉินหลังนั้นได้หายไป!
ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ หากมันสามารถนำมาตรวจสอบและเป็นจริงตามคำกล่าวของอวี้ฉือซง ไม่ว่าอย่างใดเรื่องนี้เขาก็ไม่สามารถล้างมลทินได้แล้ว
ทุกคนสับสนวุ่นวายอย่างมาก!
หายไปแล้ว!?
ของที่สำคัญขนาดนี้! เหตุใดมันถึงหายไปได้ล่ะ?!
“เรือนฉินนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของเจียงอวี่เฉิงมาตลอดไม่ใช่หรือ? เหตุใดของที่สำคัญเช่นนั้นถึงได้หายไปอย่างไร้สาเหตุเล่า? แบบนี้มันไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ…”
เสียงซุบซิบดังมาจากกลุ่มคน
เจียงอวี่เฉิงก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อยเช่นกัน
แต่ในตอนนี้ นี่คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดแล้ว
“เพราะว่าข้าขาดความระมัดระวังถึงได้ทำให้ฉินหางเฟิ่งนั้นหายไป ในช่วงนี้ข้าก็ส่งคนออกตามหาอย่างลับๆ อยู่ตลอด แต่ว่าก็ไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย…เบาะแสนี้ เกรงว่าคงจะต้องขาดลงชั่วคราวแล้ว”
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉิงมีร่องรอยความรู้สึกละอายเล็กน้อย แต่ทว่าสายตาของเขากลับดูหนักแน่นอย่างมาก
“ของไม่อยู่แล้ว นั่นไม่มีทางพิสูจน์ได้เลยว่าสิ่งที่เจ้าสำนักอวี้ฉือพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ท่านเจ้าสำนักอวี้ฉือไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่านนะ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้มันใหญ่หลวงนัก ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าพูดอันใดมาก”
อวี้ฉือซงถามกลับ
“เช่นนั้นก็หมายความว่าถ้าหาฉินหางเฟิ่งหลังนั้นได้ พวกเจ้าก็จะยอมรับคำพูดของผู้เฒ่าเช่นข้าอย่างนั้นหรือ?”
เจียงอวี่เฉิงชะงักไปเล็กน้อย
“ขอรับ หากไม่มีวันหาฉินหางเฟิ่งหลังนั้นเจอแล้ว เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็คงไม่มีทางสืบสาวราวเรื่องต่อไปได้ และเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่ต้องพูดต่อแล้ว”
คนหลายคนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
ตอนแรกยังคิดว่าจะสามารถหาเบาะแสได้อยู่แล้วเชียว แต่คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวมันจะหายไปแบบนี้…
หากองค์หญิงใหญ่ถูกคนปองร้ายจริง เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เกรงว่าจะเป็นการยากที่จะสามารถสืบค้นความจริงได้!
ในตอนนั้นเองทันใดนั้นอวี้ฉือซงก็พูดขึ้นมาว่า
“ช่างบังเอิญเสียจริง เมื่อวานดันมีคนส่งของขวัญมาให้ข้าชิ้นหนึ่งพอดี”
เจียงอวี่เฉิงเงยหน้าขวับ
หลังจากนั้นเขาก็เห็นว่าอวี้ฉือซงสะบัดชายเสื้อเบาๆ กู่ฉินหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา!
และเป็นฉินหางเฟิ่งหลังนั้น!
“ของชิ้นนั้นอยู่ที่นี่พอดี เช่นนั้นพวกเรามาดูด้วยตาตนเองเป็นอย่างใด?”
————————————————————–