ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 905 ใครกำลังด่าข้า
ตอนที่ 905 ใครกำลังด่าข้า
ฉู่หลิวเยว่คิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมาถามคำถามนี้ จนอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้า
“ใช่แล้วเพคะ เสด็จพ่อได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนหรือเพคะ?”
ซั่งกวนโหยวคิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา และเขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“อ่า ก่อนหน้านี้พ่อได้ไปคุยกับซงเหล่ามาสองสามประโยค…”
คนของสำนักชงซูเก๋อล้วนรู้เรื่องของหรงซิวทั้งนั้น และในตอนแรกนั้นก็ยังมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองตั้งแต่แรก อีกทั้งยังมอบของขวัญล้ำค่าจนยากจะลืมเลือน
ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ฉู่หลิวเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการงานในราชสำนัก และยังไม่ทันได้ไปพูดคุยกับอวี้ฉือซงและคนอื่นๆ เลย
และนางไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
“อย่างนี้นี่เอง…เรื่องราวเช่นนี้ลูกไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน แต่เพราะว่าช่วงนี้ข้ายุ่งมาก จึงไม่ได้บอกท่าน”
ในใจของซั่งกวนโหยวสงบลง
เมื่อเห็นว่าลูกสาวเปิดเผยตรงไปตรงมา ผู้ชายคนนั้นน่าจะใช้ได้เลยทีเดียว
“เช่นนั้น…เขาเป็นคนอย่างใดหรือ? ได้ข่าวว่าเป็นองค์ชายของแคว้นเย่าเฉิน ชื่อว่า…หรงซิวใช่หรือไม่? ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว เป็นจอมยุทธ์ระดับเท่าไร และที่สำคัญที่สุด เขาดีต่อเจ้าหรือไม่?”
ซั่งกวนโหยวอดทนไม่ได้ จึงถามคำถามทุกอย่างในใจออกมา
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองครู่หนึ่ง
“เสด็จพ่อ ที่ท่านมาหาข้าในวันนี้เพียงเพราะจะมาสอบถามเรื่องของหรงซิวหรือ?”
หลังจากถูกเปิดโปงความในใจ ซั่งกวนโหยวรู้สึกลำบากใจอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วนางคือลูกสาวที่เขารักที่สุด เขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก
“แค่ก! ก็…ช่างมันเถอะ! ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ไม่เคยเห็นหน้าคู่หมั้นของเจ้ามาก่อน”
เมื่อเห็นบทเรียนจากเจียงอวี่เฉิง ตอนนี้ซั่งกวนโหยวก็เหมือนนกที่ยังตื่นตระหนก เพราะกลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายอีกครั้ง
เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างเมื่อสองปีก่อนอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เห็นว่าเขาพยายามแสร้งทำเป็นใจสงบนิ่ง แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความกังวลและหวั่นวิตก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?
หัวใจของนางรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากแดงยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
“เขาเป็นคนดีมาก และดีต่อข้ามาก”
ซั่งกวนโหยวสำรวจสีหน้าท่าทางของฉู่หลิวเยว่อย่างละเอียด ตอนที่นางพูดถึงหรงซิวนั้น ท่าทางของนางมั่นคง แววตาสดใส ดวงตาและระหว่างคิ้วนั้นเหมือนมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
เห็นได้ชัดว่านางชอบคนคนนั้นอย่างมาก
เขาไม่เคยเห็นนางเช่นนี้มาก่อน
ต่อให้เป็นเมื่อก่อน ตอนที่นางพูดว่านางจะแต่งงานกับเจียงอวี่เฉิงก็ยังไม่มีสีหน้าเช่นนี้
ซั่งกวนโหยวใช้ชีวิตมากกว่าครึ่งชีวิต และในฐานะที่เขาเคยเป็นจักรพรรดิ เขาจึงเดาใจคนอื่นเก่งมาก
ดูเหมือนว่าลูกสาวที่น่ารักของข้าจะหลงรักหรงซิวเข้าจริงๆ แล้วสินะ!
ซั่งกวนโหยวถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็รู้สึกว่ามีความกังวลใจอยู่
ด้านหนึ่งเขากังวลเสมอว่าจะมีเรื่องอย่างเจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านเกิดขึ้นอีกครั้ง จนเยว่เอ๋อตั้งกำแพงกับทุกคนสูงมากยิ่งขึ้น และไล่ทุกคนออกไป
ส่วนอีกด้านหนึ่งเขาก็ยังกลัวว่าหรงซิวผู้นี้จะทำให้นางมีความสุขที่สุดไม่ได้
นางทนทุกข์ทรมานมานานมากเกินไปแล้ว
ต่อให้ตอนนี้นางจะต้องขื่นขมอีกสักเล็กน้อย เขาก็หวังว่าจะไม่มีโอกาสเช่นนั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ตอนนี้เรื่องราวหลายอย่างในซีหลิงก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่เช่นนั้นก็หาเวลาแล้วเชิญเขามาที่ซีหลิงเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย
เป็นธรรมดาที่พ่ออยากจะเห็นหน้าลูกเขย
“เพคะ”
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
ตอนนี้เรื่องความวุ่นวายก็เริ่มจางลงแล้ว ดังนั้นนางก็อยากจะใช้ฐานะที่แท้จริงบอกกล่าวกับเขาเช่นกัน
เมื่อได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดเช่นนั้น ซั่งกวนโหยวก็พยักหน้า แต่ก็ยังลังเลที่จะพูดออกไปเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงสัย จึงขยับตัวเข้าไปใกล้
“เสด็จพ่อ ท่านอยากจะถามอันใดหรือเพคะ?”
ซั่งกวนโหยวรีบปฏิเสธทันที
“เปล่า ไม่มี!”
ฉู่หลิวเยว่มองอย่างเหม่อลอย แต่ใบหน้านั้นได้แสดงออกมาหมดแล้ว
ในตอนนั้นซั่งกวนโหยวรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย หลังจากที่เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่ว่า…เพียงแต่ว่าข้าได้ยินว่าหรงซิวผู้นี้สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไรไม่ใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เกือบจะหัวเราะออกมา
“หลายวันที่ผ่านมา ท่านไปสืบเรื่องของหรงซิวมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
ซั่งกวนโหยวรู้สึกเก้อเขินจนหน้าแดงก่ำ
“ในฐานะพ่อ ข้านั้นก็เป็นห่วงเจ้าอย่างมาก จึงอยากถาม…”
แคว้นเย่าเฉินนั้นอยู่ด้านนอกพรมแดนม่านฟ้า แต่ถ้าซั่งกวนโหยวต้องการจะสืบเรื่อง ก็นับว่าสามารถทำได้แน่นอน
เมื่อสืบเรื่องได้ดังนั้น เขาจึงวางใจขึ้นมาก
ไม่ว่าเรื่องอื่นนั้นล้วนดีหมด แต่ว่าสุขภาพ…เหมือนว่าเป็นโรคที่มีมาตั้งแต่ครรภ์มารดา และสุขภาพร่อแร่มาโดยตลอด
สิ่งนี้ทำให้ซั่งกวนโหยวรู้สึกวิตกอย่างมาก
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ระหว่างคิ้วโค้งขึ้น
“ท่านวางใจเถอะ ทั้งพรสวรรค์และระดับการบำเพ็ญเพียรนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกสาวของท่านเลย ซ้ำจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นล้วนเป็นข่าวลือเท่านั้น”
ซั่งกวนโหยวตกใจ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และท่าทางเชื่อไม่ลง
“เยว่เอ๋อ แม้ว่าเจ้าจะอยากพูดแทนเขา แต่ก็อย่าพูดเกินจริงเช่นนี้ได้หรือไม่? แม้อยู่ในเมืองซีหลิง ก็ยังไม่มีใครโดดเด่นเท่าเจ้าเลย จะนับประสาอันใดกับคนในแคว้นเย่าเฉินคนหนึ่ง?”
เขาไม่ได้ดูถูกแคว้นเย่าเฉิน เพียงแต่เมื่อเทียบกับราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น แคว้นนี้นับว่าเป็นขนาดเล็กมาก
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“ถ้าท่านไม่เชื่อละก็ รอเขามาถึง เดี๋ยวท่านก็จะรู้เรื่องแล้ว”
ความจริงแล้วเรื่องระหว่างนางกับหรงซิวนั้น ยังมีปัญหาบางอย่างที่อีกฝ่ายยังไม่รู้
ตัวอย่างเช่น ฐานะองค์หญิงใหญ่ของนาง แล้วก็…ฐานะโอรสสวรรค์ของเขา!
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของนาง แม้ว่าซั่งกวนโหยวจะยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้า แสดงท่าทางเห็นด้วย
“เยว่เอ๋อ เจ้าวางใจเถอะ ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ พ่อจะสนับสนุนพวกเจ้าอย่างแน่นอน! ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่ต้องใส่ใจ!”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง
“…เรื่องอื่น? เรื่องอันใด?”
หนังตาของซั่งกวนโหยวกระตุก และพูดอย่างคลุมเครือ
“ไม่….ไม่มีอันใด…”
“หื้อ?”
“อะแฮ่ม…เจ้าดูสิ ตอนนี้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว อีกทั้งเจ้าก็ได้รับตำแหน่งเป็นจักรพรรดิแล้ว เหล่าขุนนางจึงกังวลเรื่องงานแต่งงานของเจ้าอย่างมาก…”
ซั่งกวนโหยวเหลือบสายตามองนางอย่างระมัดระวัง
“คือว่า…เจ้าก็รู้ว่าในเมืองซีหลิงนั้นมีชายหนุ่มมากพรสวรรค์จำนวนไม่น้อย ลูกชายคนรองของใต้เท้าจ้าวนั้นไม่ยอมแต่งงานเลยเพราะว่าเจ้า…แล้วก็ตระกูลสวิน อ้อนวอนขอเข้าพบมาตั้งหลายวัน…”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกอย่างแรง
มันเกี่ยวอันใดกันเนี่ย?
บัลลังก์มังกรของนางยังไม่มั่นคงเลยนะ ทางนั้นเริ่มจะเตรียมงานแต่งงานของนางแล้วหรือ?
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก…”
“จะไม่ให้รีบร้อนได้อย่างใด? จักรพรรดิของราชวงศ์เทียนลิ่งส่วนใหญ่ที่ขึ้นครองราชย์ ล้วนแล้วแต่แต่งงานแล้วทั้งสิ้น และงานอภิเษกก็ยังเป็นวันเดียวกับราชาภิเษกด้วย แต่ถ้าเลวร้ายทีสุดก็มีงานหมั้น มีเพียงแต่เจ้าเท่านั้น…ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องข่าวงานหมั้นหมายของเจ้า แต่ต่อให้รู้แล้ว…”
ซั่งกวนโหยวยังพูดไม่ทันจบ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับรู้ความหมายของมัน
…ต่อให้พวกเขารู้ว่านางกับหรงซิวหมั้นกันแล้ว แต่ก็เป็นไปได้อย่างมากที่พวกเขาจะไม่ชอบใจ
คนที่มาจากแคว้นเล็กๆ นอกพรมแดนม่านฟ้า ต่อให้เขาเป็นองค์ชาย แต่ในสายตาของพวกเขาแล้ว ตำแหน่งที่ว่านั้นไม่มีทางเทียบเท่ากับตำแหน่งจักรพรรดิของฉู่หลิวเยว่แน่นอน
…
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
จัตุรัสผิงเหลียงนอกเมืองซีหลิง
ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย
เขาสวมหมวกปิดบังใบหน้า มองไม่เห็นหน้าทั้งหมด
ผู้คนเดินขวักไขว่ ไม่มีใครสนใจเขาเลยแม้แต่คนเดียว
เขาเงยหน้าไปมองเมืองซีหลิงที่เรียบง่ายและงดงามที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเองเขาก็จามออกมา
หรงซิวลูบจมูกปอยๆ เสียงทุ้มต่ำ พร้อมพึมพำเสียงเบา เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ฟังดูเหมือนกำลังเกียจคร้าน
“ใครกำลังด่าข้าอยู่เนี่ย?”
————————————————————–