ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 909 เจอเขา
ตอนที่ 909 เจอเขา
มู่หงอวี่ชะงัก
“เหมือนจะพูดอยู่นะ… เจ้ารอข้าเดี๋ยว”
ขณะที่พูดนางก็ค้นหาในแหวนเฉียนคุนของตัวเอง จากนั้นไม่นานก็หยิบจดหมายออกมา
นางเก็บจดหมายจากที่ส่งมาจากแคว้นเย่าเฉินไว้อย่างดีมาตลอด
“เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณชายเขานำจดหมายฉบับนี้มาให้ข้า…”
มู่หงอวี่เอ่ยพลางยื่นจดหมายให้อีกคน
“ในนั้นเขียนถึงเจ้าไว้อยู่ประโยคหนึ่ง…”
ฉู่หลิวเยว่เปิดจดหมายแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความทั้งสิบบรรทัดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นประโยคที่กล่าวถึงฉู่หนิงในตอนท้าย โดยเขียนว่าฉู่หนิงได้รับจดหมายจากนาง ดังนั้นเขาจึงวางแผนเดินทางไปยังซี
หลิงเพื่อพบกับนางอีกครั้ง
ในช่วงเวลานั้น บิดามารดาของมู่หงอวี่เองก็พำนักอยู่ในแคว้น และเมื่อทราบข่าว พวกเขาก็รู้สึกอิจฉามาก เพราะพวกเขาเองก็อยากจะมาหามู่หงอวี่เช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่างแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้มาด้วย
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองไปยังวันที่บนจดหมาย ก่อนจะรู้ว่ามันถูกเขียนขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว
นางขมวดคิ้วฉับทันควัน
จากเมืองหลวงของแคว้นเย่าเฉินถึงเมืองหลวงของราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างซีหลิงนั้น มีระยะทางมากกว่าหลายหมื่นลี้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพรมแดนม่านฟ้า!
สรุปแล้วพ่อของนางได้รับข่าวสารอันใดกันแน่ ถึงทำให้ท่านมุ่งมั่นเดินทางมายังซีหลิงเช่นนี้?
อันดับแรก หากอิงตามพละกำลังของเขาแล้ว ถ้าเขาไม่มีคนนำทาง มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหาค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านั้นเจอ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้ามาที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเลย
และท่านไม่มีทางไม่รู้เรื่องอุปสรรคเหล่านี้
แต่ท่านก็ยังทำมันอยู่ดี…
นั่นเพราะท่านมั่นใจในตัวเองมาก หรือเพราะมีคนคอย “ช่วยเหลือ” ท่าน หรืออาจจะ… มีคนบังคับท่านมา?
จนตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของพ่อเป็นอย่างใดบ้าง…
เมื่อเห็นท่าทีเคร่งขรึมของฉู่หลิวเยว่ มู่หงอวี่ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
“มีอันใดหรือ? เกิดปัญหาใดขึ้นกับท่านลุงหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่จึงอธิบายให้นางฟังคร่าวๆ
มู่หงอวี่ตกใจแล้วพูดว่า
“เจ้าไม่ได้ขอให้ท่านมาหาหรือ? ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนเขียนจดหมายเชิญท่านมาเสียอีก!”
นางได้รับจดหมายฉบับนี้หลังจากฉู่หลิวเยว่เปิดเผยเรื่องตัวตนที่แท้จริงของตนแล้ว
ในตอนนั้นนางยังคงตกใจเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่กลายเป็นซั่งกวนเยว่ไม่หาย ดังนั้นหลังจากอ่านจดหมายฉบับนี้ นางจึงคิดว่า ฉู่หลิวเยว่ได้เตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และวางแผนรอให้เรื่องนี้ได้รับการคลี่คลายเสียก่อน แล้วค่อยเชิญฉู่หนิงมา
แต่พอได้ยินเช่นนี้แล้ว มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเสียนี่!
ฉู่หลิวเยว่กำจดหมายในมือแน่น ขนงเรียวสวยขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมความคิดต่างๆ นาๆ ที่พรั่งพรูขึ้นมาในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจใช้ชื่อนางเล่นงานท่านพ่อ
ทว่า… มันจะเป็นผู้ใดไปได้กัน?
ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นคนในราชวงศ์เทียนลิ่ง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต้องเป็นคนที่รู้จักนางเป็นอย่างดีด้วย
ไม่เช่นนั้น อีกฝ่ายคงไม่พุ่งเป้าไปที่ท่านพ่อหรอก
แต่ฝ่ายนั้นจะทำเช่นนี้ไปเหตุใด?
ข่มขู่นางหรือ?
ทว่าจนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่ได้รับข่าวสารใดๆ เลย
ถ้านางไม่ส่งเชียงหว่านโจวไปที่แคว้นเย่าเฉิน ก็คงไม่รู้เลยว่าพ่อของนางหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด
“หือ? พวกเจ้ามายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้?”
ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ จู่ๆ เจี่ยนเฟิงฉือก็ปรากฏตัวขึ้น
เขาสะบัดพัดในมือพร้อมเดินเข้ามาหาพวกนางด้วยรอยยิ้มยั่วยวนโทสะ แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ ดวงตาคมคายมองนางขึ้นๆ ลงๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อน
เมื่อสาวเท้าเข้าไปใกล้ เขาถึงได้วางพัดลงแล้วประสานหมัดสองข้าง และโค้งคำนับเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพ
“ถวายบังคม…ฝ่าบาท”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซั่งกวนเยว่ในตอนนั้นจะไม่ตาย แถมยังมาเกิดใหม่ในร่างของคนอื่นอีก!
ก่อนหน้านี้เขามักจะพูดเสมอว่า ตัวเขารู้สึกคุ้นเคยกับฉู่หลิวเยว่มากๆ ที่แท้ก็เพราะว่าคนตรงหน้า คือนางผู้นั้นนี่เอง!
พอตอนนี้ได้มาเจอกันอีกครั้ง ในใจก็พลันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ
แต่เมื่อเห็นว่าท่าทีของสตรีทั้งสองนั้นค่อนข้างตึงเครียด ไหนจะฉู่หลิวเยว่ที่ยืนกำจดหมายที่เขามอบให้มู่หงอวี่แน่นอีก ราวกับว่า… จะเกิดเรื่องไม่ดีอันใดขึ้นหรือเปล่า?
“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือหันมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมา พลางเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ส่งจดหมายคืนให้มู่หงอวี่ และอธิบายเรื่องนี้ให้อีกคนฟังสั้นๆ
เจี่ยนเฟิงฉือค่อยๆ ขมวดคิ้ว พลันเคาะพัดกระดูกลงกับมือของตนเบาๆ
“หลังจากที่เจ้ากลับมายังซีหลิง เจ้าได้ทำให้หลายคนขุ่นเคืองใจ แต่คนที่จะคิดไปถึงฉู่หนิงได้นั้น… ไม่น่ามีมากมายนัก?”
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะจักรพรรดิแล้ว แต่เจี่ยนเฟิงฉือก็ยังกล้าทำตัวจองหองใส่นางอยู่ดี เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นกันเองไปแล้ว ทำให้คำพูดคำจาของชายหนุ่มนั้นยังคงห้วน คงเส้นคงวาไม่ต่างจากเดิม
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจและพยักหน้าเล็กน้อย
“เดิมทีข้าคิดว่าจะพบเบาะแสในจดหมายฉบับนี้ แต่…”
เนื้อหาที่เขียนไว้ในนั้นกลับไม่ต่างจากข่าวที่เชียงหว่านโจวนำมาบอกนางเลย และไม่มีเบาะแสใหม่เพิ่มเติมแต่อย่างใด
“เจ้าไม่มีวิธีอื่นอันใดที่จะใช้ตามหาใต้เท้าฉู่หนิงแล้วหรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือถามอย่างสงสัย
คนที่รอบคอบและมีความเฉลียวฉลาดอย่างนาง น่าจะมีการเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้ไว้แล้วสิ
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่นางเดินทางออกจากแคว้นเพื่อไปยังเมืองซีหลิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปหมื่นลี้เช่นนี้ นางก็ยิ่งน่าจะระวังเรื่องแบบนี้มากกว่าปกติอยู่แล้วมิใช่หรือไร
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัว
“มันไกลเกินไป”
ก่อนมาที่นี่นางได้มอบบางอย่างไว้ให้ฉู่หนิง เพื่อเป็นการยืนยันตำแหน่งและความปลอดภัย
แต่ตอนนี้ระยะห่างระหว่างทั้งสองอยู่ไกลมาก แล้วพวกเขาจะจับตำแหน่งกันได้อย่างใด?
“วิธีนั้นคือวิธีที่แม่นยำที่สุดแล้ว”
เจี่ยนเฟิงฉือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แค่เกรงว่า… มันอาจจะใช้กับเรื่องในครานี้ไม่ได้”
สำหรับฉู่หลิวเยว่ในปัจจุบันนั้น จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย จะว่ายากก็ยากพอควร
ตอนนี้นางได้สถานภาพเดิมของตัวเองคืนมาแล้ว และอำนาจทั้งหมดของราชวงศ์เทียนลิ่งก็อยู่ภายใต้การควบคุมของนางแล้ว ซึ่งการส่งคนไปค้นหาที่อยู่ของคนคนหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ตัวตนของฉู่หนิงนั้นค่อนข้างพิเศษ… เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดฉู่หลิวเยว่เจ้าของร่างนี้
ทว่าสถานะของฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว ไหนจะซั่งกวนโหยวที่ฟื้นขึ้นมาแล้วพักผ่อนอยู่ในพระราชวังอีก
ทำให้การมีอยู่ของฉู่หนิงนั้น กลายเป็นเรื่องที่นางไม่รู้จะหาจุดบรรจบเช่นไรดี
“ข้าได้ส่งคนไปค้นหาเป็นการส่วนตัวแล้ว แต่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ข้าไม่ได้เงื่อนงำใดกลับมาเลย ราวกับกำลังงมเข็มในมหาสมุทร”
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของนาง มู่หงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะตบมือของนางเบาๆ
“หลิวเยว่ เจ้าไม่ต้องห่วง คุณลุงเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ท่านจักไม่เป็นอันใด”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเบาๆ
“หวังว่าอย่างนั้นนะ”
เจี่ยนเฟิงฉือลอบมองสตรีสองนางที่กำลังยืนกุมมือกันอยู่ ด้วยแววตาสั่นไหวเล็กน้อย
ซั่งกวนเยว่ในตอนนี้ ไม่เหมือนคนเดิมเลยแม้แต่น้อย
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นองค์หญิงใหญ่ แม้ว่านางจะเป็นมิตรมาก แต่รัศมีรอบตัวนางก็ยังมีความแปลกแยก และเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีในตัวเองอยู่เสมอ
ซึ่งความจริงแล้วนางไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้น แต่เพราะโดดเด่นเกินไปตั้งแต่เกิด ทำให้บุคลิกของนางกลายเป็นคนที่ดูเด็ดเดี่ยวอย่างสุดจะพรรณนา
อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เลย แม้แต่ลูกท่านหลานเธอหลายคนในราชวงศ์เทียนลิ่ง ก็ยังแทบไม่มีใครสนิทกับนางเลย
ทุกคนล้วนมองนางดั่งผู้สูงศักดิ์ราวเทพเซียน ดังนั้นพวกเขาจึงเว้นระยะห่างจากนางมากโข
และอาจเป็นเพราะเหตุนี้ นางถึงใจดีกับซั่งกวนหว่านผู้ซึ่งอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมนางในตอนนั้น
หรือแม้กระทั่งมู่ชิงเห่อที่ปรากฏตัวในภายหลัง…
แต่หลังจากฟื้นจากความตายแล้ว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ความรู้สึกของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ยามนี้นางมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ที่สุด และยังได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่นางไม่เคยมีมาก่อน ตัวตนทั้งหมดของนางในปัจจุบันนั้น ดูเหมือนจะเริ่มใกล้เคียงกับความจริงที่มนุษย์คนหนึ่งควรพึ่งมีแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจี่ยนเฟิงฉือก็เกิดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกไปในที่สุด
“เจ้าได้พบมู่ชิงเห่อบ้างหรือไม่?”