ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 912 ข้าอยู่นี่ ไม่ต้องกลัว
ตอนที่ 912 ข้าอยู่นี่ ไม่ต้องกลัว
หัวใจดวงน้อยที่เคยว่างเปล่า พลันรู้สึกราวถูกเติมเต็มด้วยบางสิ่งในทันที
ฉู่หลิวเยว่สวมกอดเขาทันทีโดยไม่รู้ตัว แล้วกดซบใบหน้างามลงบนแผ่นอกของเขา พลางลอบฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรง เสมือนว่ามันสามารถทำให้เลือดที่เกือบเย็นจัดในกายบาง กลับมาไหลเวียนได้อีกครั้ง
สายฝนโปรยปราย ลมเย็นพัดโชยมาทุกทิศทุกทาง เกิดเป็นคลื่นน้ำเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ที่กำลังเกี่ยวพันราวกับเริงระบำอยู่บนพื้น
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด มีเพียงภาพเงาของคนทั้งสองที่กำลังโอบกอดกันอย่างแนบชิด สะท้อนลงบนหยาดทิพย์ที่พรั่งพรูลงมา
ราวกับหูอื้อไปชั่วขณะ จากนั้นฉู่หลิวเยว่ถึงกับตระหนักได้ว่า ในที่สุดจิตใจที่ล่องลอยไปมาของนางก็ถูกดึงกลับมาแล้ว
แขนขาที่เย็นจัดจนเย็นชาค่อยๆ กลับคืนสู่อุณหภูมิปกติ และภาพหลอนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้า ก็สลายหายไปทีละน้อย
เหลือเพียงหรงซิวที่กำลังโอบกอดและยืนเป็นที่พักพิงให้นางอยู่คนเดียว ช่างเป็นความจริงที่เหนือความคาดหมาย
ร่มสีดำเหนือศีรษะยกขึ้นกันลมฝนไม่ให้โดนตัวนาง
อ้อมกอดที่ผ่อนคลายและอบอุ่นนั้นช่างชวนให้คิดถึง
ฉู่หลิวเยว่งุนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะกระซิบเสียงเบา
“หรงซิว ข้าคิดถึงเจ้ามาก”
หรงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสียงของนางฟังดูผิดแปลกไป
แต่ไหนแต่ไรนางเป็นคนฉลาดหลักแหลม รักอิสระ แข็งแกร่ง และเหมือนจะไม่เคยถูกสิ่งใดครอบงำ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
แม้ในอดีตจักต้องพบเจอกับการทรยศหักหลังแบบนั้น แต่นางก็ยังพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง เพื่อส่งคืนความเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยได้รับ และทวงเอาทุกอย่างที่เป็นของนางกลับคืนมา
เสมือนว่านางคือผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีวันสิ้นชีพ
ทว่าเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งหมดที่เติบโตมาบนโลกใบนี้ จักหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและความทุกข์ไปได้อย่างใด?
มีแต่ว่าใครจะปกปิดความรู้สึกได้ดีกว่ากัน ก็เท่านั้น
เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ และวางคางเกลี้ยงเกลาเสมือนหยกเนื้อดีของตน กดแนบกับศีรษะของนางเบาๆ
“ข้าอยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว”
แม้จะเป็นเพียงประโยคง่ายๆ แต่มันคือคำสัญญาที่หนักแน่นที่สุดของเขา
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ร้อนผ่าว
ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด แค่ใครสักคนในโลกนี้ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างนาง ในยามที่นางต้องการมากที่สุด
คอยมอบความกล้าหาญให้กัน และมอบความรักให้นาง
แค่นั้นก็พอแล้ว
นางหลับตาลงแล้วปล่อยวางความสูญเสียและความเสียใจครั้งสุดท้ายของตนไป
อย่างใดเสีย มันก็ไม่ใช่ว่านางไม่เคยโดนโจมตีอย่างรุนแรง และฝังใจเช่นนี้สักหน่อย ซึ่งตอนนี้นางก็ไม่รู้สึกอันใดแล้ว
และอย่างน้อยมันก็ดีที่สถานการณ์ในปัจจุบัน ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง
ตูม!
มีเสียงระเบิดดังมาจากด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เงาหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของหรงซิว และมองย้อนกลับไป
ก่อนจะเห็นกลุ่มแสงสีน้ำเงินม่วงที่บินเข้าหานาง แล้วปะทะกับพลังของหรงซิวอย่างรวดเร็ว พลันสลายไปจนหมด
ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างตกลงไปในแอ่งน้ำ
หยดน้ำฝนกระเซ็นออกมาเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจมองและเห็นเพียงวัตถุที่มีขนาดเท่าหัวแม่มืออย่างคลุมเครือ มันส่องแสงจางๆ ในแอ่งน้ำ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด
“นั่นมันอันใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ถามด้วยความสงสัย
เมื่อครู่นางสัมผัสได้ชัดเจนว่าเจ้าสิ่งนี้พุ่งเป้ามาที่นาง!
ทว่าลมปราณของเจ้าสิ่งนั้นกลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดมากๆ
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นฝีมือใคร
“แค่หยอกเล่นๆ นั่นแหละ”
หรงซิวกล่าวเสียงเรียบ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าหรงซิวน่าจะรู้ที่มาที่ไปของเจ้าสิ่งนี้ น้ำเสียงของเขาเย็นชาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ขยิบตาให้ถวนจื่อ
ถวนจื่อจึงบินออกไปและหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา
หรงซิวเหลือบมองถวนจื่อ ดวงตาของเขาทอแสงเย็นยะเยือก
ถวนจื่อตัวสั่นเครือ สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดสั่งการให้มันสะบัดปีกระรัว จนแทบจะโยนสิ่งนั้นออกไป
ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุดมันก็ส่งวัตถุนั้นให้กับฉู่หลิวเยว่ได้สำเร็จ
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือออกมาและกำลังจะหยิบมัน ทว่าหรงซิวซึ่งอยู่ข้างๆ กลับคว้ามือของนางไว้ และในขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังปราณดั้งเดิมใส่เจ้าสิ่งนั้น!
ตู้ม!
เกิดเสียงดั่งสนั่นและของสิ่งนั้นก็เปิดออก!
จากนั้น กระดาษแผ่นหนึ่งก็ลอยออกมา และกางออกโดยอัตโนมัติ!
เหมือนว่ามันจะเป็นเศษกระดาษถูกฉีกขาดอย่างสะเปะสะปะ แต่ในขณะที่มันลอยตัวอยู่กลางอากาศ แม้รอบๆ จะมีน้ำฝนปรอยลงมา มันกลับไม่เปียกเปื้อนเลยสักนิด
ราวกับว่ามีค่ายกลที่มองไม่เห็นคลุมมันอยู่
และในนั้นก็มีข้อความเขียนไว้เพียงสองบรรทัด
บรรทัดแรกคือ “ขอแสดงความยินดีด้วย ซั่งกวนเยว่”
ส่วนบรรทัดที่สองเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะบอกว่าบิดาของเจ้าสบายดี อย่าได้ไต่ถาม เดือนหน้าจักได้เจอเอง”
เมื่อฉู่หลิวเยว่อ่านจบ ข้อความเหล่านั้นก็ถูกเผาและกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว และหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
นอกจากกลิ่นไหม้จางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ทุกอย่างก็ดูปกติราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
แต่ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ!
เพราะนางเคยเห็นลายมือที่อยู่บนนั้น!
ในตอนนั้น ครั้งที่นางได้รับจดหมายฉบับหนึ่งขณะอยู่ในพรมแดนม่านฟ้า และจดหมายนั่นถูกปิดผนึกด้วยอักขระที่เป็นดั่งค่ายกลปกป้องมันอยู่ครึ่งหนึ่ง นางจึงใช้พลังปราณถอดอักขระอีกครึ่งที่เหลือ ถึงเปิดจดหมายฉบับนั้นได้
และในจดหมายนั้นเขียนไว้ว่า “ซั่งกวนเยว่ ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่”
ในตอนนั้นนางยังไม่ได้เล่าเรื่องตัวตนของนางให้ใครฟัง ดังนั้นหลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น นางจึงเดาและครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็นึกไม่ออกว่าคนที่เขียนจดหมายนั่นเป็นใคร
หลังจากมาถึงซีหลิง นางก็ยุ่งกับเรื่องต่างๆ จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
จนกระทั่งวันนี้ ที่นางได้เห็นข้อความนั่นอีกครั้ง…
มันจะต้องเป็นฝีมือของคนคนเดียวกัน และอีกฝ่ายจะต้องรู้จักนางมาตั้งแต่ครั้งในอดีต!
และเขาจะต้องรู้ทุกการเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่!
คำว่า “ขอแสดงความยินดี” เช่นนี้ ไม่ต้องถามก็รู้ว่ามันหมายถึงการครองสู่บัลลังก์ของจักรพรรดิ!
และฝ่ายนั้นก็จงใจพาพ่อของนางมาที่นี่!
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
คนผู้นี้… เป็นใครกันแน่!?
ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นคนจากราชวงศ์เทียนลิ่ง ทว่าตอนนี้ ดูเหมือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้น
ผู้ที่สามารถแทนตัวเองว่า “ข้าพเจ้า” เช่นนี้ มักเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยแผนการและเล่ห์กล… และมีโอกาสมากที่อีกฝ่ายจะมาจากเขตของนอกราชวงศ์เทียนลิ่ง!
ดวงตาคู่คมของหรงซิวหรี่ลงเล็กน้อย ความเย็นวาบแล่นริ้วขึ้นในดวงตาของเขา
ช่างกวนใจเขาเสียจริงๆ…
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็หันศีรษะไปมองหรงซิวตาเขม็ง
“เจ้า… ทราบหรือว่าเป็นฝีมือใคร?”
ในใจของนางเต็มไปด้วยสัญชาตญาณบางอย่างที่มิอาจอธิบายได้ นางมักจะรู้สึกเสมอว่าหรงซิวนั้น เหมือนจะรู้เรื่องต่างๆ มากกว่าที่นางคาดไว้
นางไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้โผล่มาจากไหน แต่เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของหรงซิวในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าการคาดเดานี้จะถูกต้อง
ริมฝีปากบางสีแดงเข้มของหรงซิวขยับเล็กน้อย ทว่าในขณะที่เขากำลังจะพูด ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากมุมถนนด้านหลังคนทั้งสอง
“องค์หญิง!”
นี่คือเสียงของสิบสาม
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นชายหนุ่มร่างเพรียวบางวิ่งมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวของเขานั้นคล่องแคล่วและอิสระเสรี ครั้นเงยหน้ามองดูแวบหนึ่ง ก็เหมือนจะไม่มีอันใด ทว่าเพียงพริบตา เขาก็มาโผล่อยู่ตรงหน้านางแล้ว
เจ้าสิบสามผ่าฝนมาที่นี่ แต่รอบตัวของเขามีค่ายกลปกคลุมอยู่ เขาจึงไม่กลัวว่าตัวเองจะเปียก
เนื่องจากอายุยังน้อย ฉู่หลิวเยว่จึงแทบไม่ได้มอบหมายภารกิจใดๆ ให้สิบสามเลย และปล่อยให้เขาใช้สมาธิกับการฝึกฝนของตัวเองเท่านั้น
และสิ่งนี้ทำให้สิบสามมีอิสระเข้านอกออกในวังหลวงได้อย่างเสรี
วันนี้เขาบังเอิญได้พบกับซั่งกวนโหยว และเมื่อได้ยินว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้เป็นนาย เขาก็ตกลงทันทีและออกจากวังเพื่อไปหาใครบางคน
เขาห่างจากฉู่หลิวเยว่ไม่ไกลนัก ก่อนที่สิบสามจะตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า
“องค์หญิงขอรับ พระเจ้าหลวงทรงกังวลว่าท่านจะเสด็จออกมาเพียงลำพังนานเกินไป พระองค์จึงขอให้ข้าน้อยนำร่มมาให้ และพาท่านกลับพระราชวัง…”