ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 915 ไม่ได้
ตอนที่ 915 ไม่ได้
จ้าวจื่อเฉิงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของฉู่หลิวเยว่แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังพูดต่ออีกว่า
“เพราะรู้ว่าช่วงนี้ฝ่าบาทค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นถึงจะกลับมาได้สองสามวันแล้ว แต่จื่อเฉิงก็พักอยู่ที่จวนเสียก่อน และไม่กล้ารบกวนท่าน แต่…”
จ้าวจื่อเฉิงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังสตรีที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่คมเผยให้เห็นความรู้สึกชอบพออย่างปิดไม่มิด รวมทั้งหัวใจดวงน้อยที่เต้นระส่ำด้วยความกระวนกระวาย
“ตะ… แต่… จื่อเฉิงชื่นชอบฝ่าบาทมาหลายปีแล้ว และเกรงว่าหากครั้งนี้ไม่พูดมันออกไป หลังจากนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก”
ในที่สุดเขาก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป จ้าวจื่อเฉิงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในทันที ใบหน้าหล่อเหลาแดงเถือก พลางจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความหวังระคนกังวล ราวกับว่าเขากำลังรอคำตอบจากนาง
ฉู่หลิวเยว่แอบถอนหาย
นางลอบพิจารณาเขาในใจ จ้าวจื่อเฉิงนั้นดีมากๆ
แม้ตระกูลจ้าวจะไม่ถือว่าเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของเมืองซีหลิง แต่ก็เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีอายุเกือบร้อยปีและมีทรัพย์สินมรดกมากมาย
และลูกชายคนที่สองของตระกูลจ้าวอย่าง จ้าวจื่อเฉิงเองก็มีชื่อเสียงมาก
และประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นปรมาจารย์อัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างมาก ทั่วทั้งเมืองซีหลิง นอกจากฉู่หลิวเยว่แล้วก็แทบไม่มีใครเทียบเขาได้เลย
หากเจี่ยนเฟิงฉือเป็นอัจฉริยะด้านการปรุงโอสถที่ตามหลังนางเพียงหนึ่งก้าว เช่นนั้นจ้าวจื่อเฉิงก็ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ซึ่งอยู่เหนือขั้นปรมาจารย์ขึ้นไปอีก และสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับนางได้!
เมื่อครั้งยังเด็ก นางได้ฝึกฝนกับผู้อาวุโสหลายคนของราชวงศ์ และครั้งหนึ่งเจี่ยนเฟิงฉือกับจ้าวจื่อเฉิงเองก็เคยเป็นสหายร่วมฝึกกับนาง
ทว่าจ้าวจื่อเฉิงนั้นแตกต่างจากเจี่ยนเฟิงฉือที่มักจะทำตัวหยิ่งยโสและมุทะลุ ซึ่งจ้าวจื่อเฉิงจะมีความเป็นสุภาพบุรุษสุภาพเรียบร้อยและอ่อนโยนกว่าเขา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนในเมืองซีหลิงล้วนพูดถึงและยกย่องแต่บุตรชายคนที่สองของตระกูลจ้าวกันทั้งนั้น
ต่อให้เทียบกับเจียงอวี่เฉิง เขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ทุกด้าน
“จ้าวจื่อเฉิง ข้าจำได้ว่าปีนี้เจ้าจะอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
จ้าวจื่อเฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว”
“ในวัยนี้ เจ้าควรจะมีภรรยาและมีลูกไปนานแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอย่างจริงใจและใจเย็น
“เจ้าไม่ควรมาเสียเวลากับข้าอีกแล้ว”
พลันใบหน้าที่แดงซ่านเมื่อครู่ของจ้าวจื่อเฉิง ก็ “ซีดเผือด” ลงทันที
ดวงตาของเขาฉายแววตื่นตระหนก
“ฝ่าบาท ท่านหมายความว่าอย่างใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“คนฉลาดเช่นเจ้าย่อมรู้ว่าข้าหมายถึงอันใด หลังจากนี้ก็ขออย่าพูดเช่นนี้อีก โปรดกลับไปเสียเถิด”
สิ้นสุรเสียง ฉู่หลิวเยว่ก็ยกเท้าขึ้นและเตรียมจะจากไป
จ้าวจื่อเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและขวางทางนางไว้อีก
“ฝ่าบาท จื่อเฉิงต้องการแต่งงานกับท่านจริงๆ! นะ”
จ้าวจื่อเฉิงพยายามระงับความเครียดและความเสียใจของตนไว้อย่างสุดความสามารถ
“ในปีนั้น มันเป็นเพราะเจียงอวี่เฉิงเป็นฝ่ายก้าวไปหาท่านก่อน ท่านจึงตกลงทำสัญญาสมรสกับเขา ข้าจึงจำต้องเลิกคิดเรื่องท่านและหนีออกไปจากซีหลิงเพียงลำพัง แม้ว่ามันจะน่าอึดอัด แต่ตราบใดที่ท่านมีความสุข เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญเท่า แต่ตอนนี้เขาหักหลังท่าน ข้าเจ็บปวดเสียใจอย่างมาก! ถึงท่านจะพลาดเพียงครั้งเดียว แต่มันก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็นเลย และข้าไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง!”
ในวันนี้จ้าวจื่อเฉิงพร้อมเทหมดหน้าตัก
ไม่กี่ปีก่อนเขายอมจากไปด้วยหัวใจที่บอบช้ำ และคิดว่านางได้พบกับความสมบูรณ์แบบในชีวิตแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจักกลับตาลปัตรถึงเพียงนี้!
เมื่อได้ยินว่านางรอดจากหายนะและความตายมาได้ เขาก็รีบกลับมาทันที!
ไม่ว่าอย่างใด ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมถอยแน่นอน!
ถึงเขาเองจะไม่ค่อยสนใจเรื่องสรรพสิ่งนอกกายเหล่านั้น แต่ในแง่ของภูมิหลัง พรสวรรค์และอื่นๆ ทำให้เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนางในตอนนี้!
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับปวดหัว
จ้าวจื่อเฉิงมีนิสัยเรียบร้อยและอ่อนโยน แต่พอบทจะดื้อ เขาก็มักจะดื้อดึงเอาให้ได้ขนาดที่ว่าวัวลากยังรั้งไว้ไม่อยู่
“จ้าวจื่อเฉิง ข้ารู้ถึงความในใจของเจ้ามาโดยตลอด”
หลังจากคิดเรื่องนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ตัดสินใจบอกความจริง
“ข้ารู้มาตั้งหลายปีแล้ว ถึงเจ้าไม่พูด ข้าก็รู้”
จ้าวจื่อเฉิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากๆ และไม่ค่อยรู้จักซ่อนความรู้สึกของตัวเอง
และนางก็ไม่ได้โง่ พวกเราใช้เวลาเล่าเรียนด้วยกันอยู่หลายปี หลังจากนั้นเขาเข้าไปทำงานในวัง และจะเห็นเขาในท้องพระโรงหรือในงานเลี้ยงของพระราชวังเป็นครั้งคราว
นางจะไม่รู้ความรู้สึกของเขาได้อย่างใด?
ทว่าความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้
จ้าวจื่อเฉิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง และต้องใช้เวลาสักพักกว่า ถึงจะรู้ว่านางหมายถึงอันใด
ดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาที่ชัดเจนของหญิงสาวด้านหน้า พลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาทันที
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย แต่เรียวคิ้วและดวงตาคู่นี้ก็ยังคุ้นเคยในความทรงจำ
อย่างใดนางก็คือนาง
ชัดเจนแล้วว่าประโยคนั้นคือการปฏิเสธ
แต่ว่า…
แต่ว่า…
เขาไม่อยากยอมแพ้ทั้งๆ แบบนี้
“…ให้โอกาสข้าสักครั้งมิได้หรือ?”
จ้าวจื่อเฉิงเปิดปากของเขาด้วยความยากลำบาก ดวงตาของเขาสั่นไหวราวจะแตกสลาย
เขาคิดถึงคนผู้นี้มาหลายปีแล้ว และไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดจะลืมและปล่อยมือนาง
แต่ถ้าเขาทำได้ วันนี้เขาคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้หรอก
“ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็…”
“ไม่ได้”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงทุ้มต่ำและเย็นชาของบุรุษดังมาจากด้านหลัง แม้ว่าน้ำเสียงจะเบา แต่ก็แฝงไปด้วยแรงข่มอันรุนแรงในคำพูดนั้น!
จ้าวจื่อเฉิงหันกลับไปมองทันควัน ก่อนจะเห็นชายในชุดคลุมสีขาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ไกลนัก
ดูๆ แล้วชายผู้นี้คงจะอายุเพียงยี่สิบต้นๆ อีกฝ่ายมีรูปร่างสูงโปร่ง และสวมอาภรณ์สีขาว ชายเสื้อตัวยาวพลิ้วไหวไปตามสายลม ราวกับเซียนเทพที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือรูปลักษณ์ของเขา ใบหน้านั่นสมบูรณ์แบบประหนึ่งถูกแกะสลักและหล่อขึ้นมาอย่างประณีต ช่างดูสง่างาม สูงส่งและไร้เทียมทานราวสวรรค์ประทาน แต่ทว่าลมปราณกลับเต็มไปด้วยดุดัน
เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ลมปราณของเขาก็สามารถขจัดสีสันทั้งหมดของโลกใบนี้ได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่จ้าวจื่อเฉิงเองยังต้องยอมรับว่า ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นใครที่มีรูปร่างหน้าตาและท่วงท่าทีสง่างามเช่นนี้มาก่อนเลย
“จะ เจ้าคือ…”
ริมฝีปากบางสีแดงสดของหรงซิวยกยิ้มเบาๆ
“ข้าคือคู่หมั้นของเยว่เอ๋อ…หรงซิว”
————————————————————–