ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 916 เจ้ามีความสำเหนียกหรือไม่
ตอนที่ 916 เจ้ามีความสำเหนียกหรือไม่
มันเป็นเพียงประโยคธรรมดาๆ แต่กลับฟาดลงมาราวกับฟ้าผ่า! และกระแทกใจของจ้าวจื่อเฉิงอย่างแรง!
แวบหนึ่งสมองของเขาแทบหยุดทำงาน
“จะ เจ้าว่ากระไรนะ?”
เขาเป็น…คู่หมั้นของนางหรือ!?
ไม่ใช่ว่านางเพิ่งกลับมาที่นี่หรอกหรือ ไฉนถึง…
เขาหันกลับไปมองนางด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าหลังจากที่นางเห็นผู้มาใหม่ หญิงสาวที่ก่อนหน้านี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา ก็พลันแย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มุมปากของนางยกโค้งขึ้นพร้อมดวงตาที่ทอประกายระยิบระยับดุจดั่งดวงดารา
ยามนี้ เพลิงรักในใจของจ้าวจื่อเฉิงดับมอดลงทันที
“หรงซิว”
ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้ นางยกเท้าขึ้นแล้วเดินไปหาเขา
“เหตุใดเจ้าถึงมาแต่เช้าเชียว?”
หรงซิวเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางเผยยิ้มบางราวไม่ยิ้ม
“ถ้าอยากมาคารวะพ่อตา ก็ควรมาแต่เช้า อีกอย่าง ถ้ามาช้าคงอดเห็นอันใดดีๆ”
ฉู่หลิวเยว่ถลึงตามองเขาอย่างขุ่นเคือง
ขนาดนี้แล้วยังจะหยอกล้อนางอีก เมื่อครู่นางก็ปฏิเสธไปชัดๆ แล้วแท้ๆ
หรงซิวมองดูนางที่กำลังโกรธตนด้วยรอยยิ้มกว้าง ในใจรู้สึกคันยุบยิบเล็กน้อย และอยากจะคว้านางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่เมื่อคิดได้ว่าที่นี่คือพระราชวังของราชวงศ์เทียนลิ่ง ที่มีข้าราชบริพารมากมายล้อมหน้าล้อมหลังแล้ว เขาจึงทำได้เพียงอดทนและจับมือนางไว้เท่านั้น
เมื่อเห็นมือที่ประสานกันของคนทั้งสอง ในที่สุดจ้าวจื่อเฉิงก็ได้สติ
เขาเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เป็นใครก็ดูออกว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมากแค่ไหน
คู่หมั้นหรือ…
เหตุใดเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?
ไม่กี่วันก่อน จ้าวจื่อเฉิงถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุขดิบของซั่งกวนโหยวจากบิดาของตน ทว่าตอนนั้นบิดาของเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องคู่หมั้นของนางเลย
หรืออาจจะเป็นคนใหม่ที่นางพบในช่วงสองปีที่ผ่านมา?
ถ้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้นางเดินทางมาจากแคว้นเย่าเฉินที่อยู่นอกพรมแดนม่านฟ้า
ผู้ชายคนนี้…
“เจ้าดูไม่เหมือนคนจากเมืองซีหลิง”
จ้าวจื่อเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสงบคลื่นอารมณ์ในใจตนลง
อย่าว่าแต่ในเมืองซีหลิงเลย แม้แต่ในราชวงศ์เทียนหลิงทั้งหมด และในบรรดาตระกูลที่มีชื่อเสียง ก็ยังไม่เคยมีตระกูลหรงปรากฏขึ้นมาก่อน
ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะมาจากแคว้นเย่าเฉิน
อันที่จริงฉู่หลิวเยว่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับจ้าวจื่อเฉิงให้มากความ ดังนั้นนางจึงแทรกขึ้นมาว่า
“ท่านพ่อน่าจะรออยู่ข้างในแล้ว เช่นนั้นข้ากับหรงซิวขอตัวเข้าไปข้างในก่อนนะ ส่วนคุณชายจ้าวเองก็ควรกลับไปได้แล้ว”
ทว่าจ้าวจื่อเฉิงกลับจ้องมองหรงซิวอย่างไม่ลดละ
“ในเมื่อเขาเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาท เช่นนั้นก็ย่อมสามารถพูดเรื่องภูมิหลังของต้นตระกูลได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?”
นี่คือการเผชิญหน้ากับหรงซิวอย่างเป็นทางการ
หรงซิวชำเลืองมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความมั่นใจ พลันยิ้มบางและพูดว่า
“ข้าคือหรงซิว องค์ชายลำดับเจ็ดแห่งแคว้นเย่าเฉิน”
สุดท้ายก็เป็นคนจากแคว้นเย่าเฉินนั่นจริงๆ ด้วย!
จ้าวจื่อเฉิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าหรงซิวผู้นี้จักเป็นองค์ชาย แต่แคว้นน้อยๆ แบบนั้น ย่อมไม่คุ้มค่าแก่การกล่าวสำหรับคนซีหลิง
ต่อให้นางจะเป็นเพียงลูกสาวขุนนางจากตระกูลธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าตามตรอกออกตามประตูอยู่ดี นับประสาอันใดกับฉู่หลิวเยว่ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ไปแล้ว?
สถานะของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่พวกขุนนางในราชวงศ์เองก็คงไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้เป็นแน่!
จ้าวจื่อเฉิงหันขวับไปมองฉู่หลิวเยว่อย่างอดไม่ได้
ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ แต่นางกลับเพิกเฉยและยืนยันที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่านางประทับใจผู้ชายคนนี้จริงๆ
จ้าวจื่อเฉิงกำหมัดแน่น พร้อมความรู้สึกฟุ้งซ่านในใจ
หลายปีก่อนเขาก็โดนเจียงอวี่เฉิงตัดหน้าไปแล้ว
และตอนนี้ก็มีหรงซิวอีก
ราวกับว่าทุกครั้งที่เขาก้าวไปข้างหน้า มันกลับช้ากว่าคนอื่นไปก้าวหนึ่งเสมอ
ไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ!
“ข้าคือรองเจ้ากรมข้าราชการพลเรือน จ้าวจื่อเฉิง”
ถึงไม่กี่ปีมานี้จ้าวจื่อเฉิงจะไม่ได้ปักหลักอยู่ที่ซีหลิง แต่เขาก็ไม่เคยลาออกจากตำแหน่ง การเดินทางของเขาราบรื่นดี และตอนนี้เขาก็ได้รับตำแหน่งรองเจ้ากรมตั้งแต่อายุยังน้อย
ความจริงแล้ว เมื่อเทียบกับฐานะของตระกูลเขา ตำแหน่งนี้แทบไม่น่ามีอันใดให้ภูมิใจยามกล่าวถึงเลย
มีหลายคนที่ได้เป็นรองเจ้ากรมวัง ทว่ามีเพียงลูกชายคนที่สองของตระกูลจ้าวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ตำแหน่งนี้
จ้าวจื่อเฉิงไม่ได้อยากใช้ฐานะของต้นตระกูลเพื่อข่มเหงใคร แต่เขาแค่อยากใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเพื่อกดดันอีกฝ่ายเท่านั้น
เมื่อสามัญชนทั่วไปได้ยินชื่อตำแหน่งนี้ พวกเขาก็มักจะตกใจและเอ่ยชื่นชมออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่หลังจากที่เขาพูดจบ กลับไม่มีอาการใดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลย เจ้าตัวทำเพียงพยักหน้าให้เขาอย่างไม่แยแส
“คุณชายรองจ้าว ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่และจ้าวจื่อเฉิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ
ในความคิดของฉู่หลิวเยว่ก็ก็คือ หรงซิวเหมือนจะเคยมาเยือนซีหลิงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และยามนั้นจ้าวจื่อเฉิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วเขาจะเคยได้ยินชื่อของจ้าวจื่อเฉิงได้อย่างใด?
แต่จ้าวจื่อเฉิงกำลังคิดว่า เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของหรงซิวแล้ว มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเขาเลย แต่ถ้ารู้จักแล้วเหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่คุ้นเคยล่ะ?
หรือบางที… อาจเป็นเพราะเขายังไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในซีหลิงมากพอ?
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ยังพอจะช่วยคลายความสงสัยในตัวเขาได้
จ้าวจื่อเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ข้ามีที่อยากคุยกับองค์ชายหรงเป็นการส่วนตัวเล็กน้อย ไม่ทราบว่าองค์ชายหรงพอสะดวกหรือไม่?”
หรงซิวเลิกคิ้วและพยักหน้า
“เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ”
เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มแปลกๆ ฉู่หลิวเยว่ก็จับตัวหรงซิวไว้ทันที
“มีอันใดจะพูดก็พูดออกมาตรงนี้เลย”
โดยรวมแล้วมันต้องเกี่ยวกับนางแน่ๆ แล้วเหตุใดนางจะฟังด้วยไม่ได้?
จ้าวจื่อเฉิงเหลือบมองนางอย่างลังเล
“ฝ่าบาท…”
“ข้ากับหรงซิวเป็นคู่หมั้นกัน ระหว่างเราจะไม่มีความลับ ถ้าคุณชายจ้าวต้องการพูดสิ่งใด ก็โปรดพูดมันออกมาเลย”
ดวงตาของหรงซิวเป็นประกาย หางตาและเรียวคิ้วโก่งโค้งลงเป็นรอยยิ้ม
สำหรับเขาแล้ว มันยากที่จะเห็นนางสนับสนุนเขามากเช่นนี้…
จะว่าไปก็รู้สึกไม่เลวเลยแฮะ?
จ้าวจื่อเฉิงหรี่ตาลงทันควัน
ขนาดเจียงอวี่เฉิงนางยังไม่เคยออกตัวปกป้องเช่นนี้เลย…
ตอนนี้นางกำลังปกป้องอีกฝ่ายอย่างหนัก จนเขาเองยังรู้สึกได้
แต่ในทางกลับกัน หรงซิวกลับยืนอยู่ข้างหลังนางนิ่งๆ เสมือนกำลังเพลิดเพลินไปกับการปกป้องของสตรีผู้นี้ด้วยความสบายใจ
จ้าวจื่อเฉิงโกรธมาก
ปัจจุบันยังกล้าทำเช่นนี้ แล้วในอนาคตเล่าจักแผลงฤทธิ์ขนาดไหน!?
สำหรับนางแล้ว การแต่งงานในครั้งนี้มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!
จ้าวจื่อเฉิงทำท่าทางเคร่งขรึมมากขึ้น
“ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้แล้ว ข้าก็พูดตรงๆ เลยแล้วกัน องค์ชายหรง ถ้าเจ้าจริงใจต่อฝ่าบาทจริงๆ ล่ะก็ ได้โปรดปล่อยฝ่าบาทไปเสียเดี๋ยวนี้ และต่อจากนี้ก็อย่าได้มีความสัมพันธ์อันใดกับนางอีก”
หลังจากสิ้นเสียง บรรยากาศโดยรอบก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที!
จนทำให้ผู้คนรอบๆ รัศมี ตัวหดลงทีละนิ้ว!
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ทันทีว่าไอเย็นจัดเหล่านั้นล้วนแผ่ออกมาจากหรงซิว!
แวบหนึ่งจ้าวจื่อเฉิงรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่อันตรายสุดๆ!
หัวใจของเขาเต้นแรง! ขนหัวลุกไปหมด!
แต่เพียงชั่วพริบตา ความรู้สึกนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา…
หรงซิวยิ้ม ทว่าน้ำเสียงของเขากลับดูเยือกเย็น จนทำให้คนฟังรู้สึกหนาวสั่น
“หือ? แล้วถ้าข้าตอบว่า ‘ไม่’ ล่ะ?”
จ้าวจื่อเฉิงคิดไว้แล้วว่าถ้าเขาได้ยินประโยคนั้น เขาจะต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน แต่เขาก็ไม่ท้อถอย และพูดต่อว่า
“เมื่อก่อนพวกเจ้าอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก แต่ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่านางกลายเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เทียนลิ่งแล้ว นางจำเป็นต้องแต่งงานกับคนที่มีสถานภาพเดียวกัน แต่เจ้า…ไม่มีคุณสมบัตินั้นเลย!”
“ถ้าเจ้าชอบนาง เอ็นดูนางและต้องการทำเพื่อนางจริงๆ เจ้าควรยกเลิกการหมั้นหมายและออกไปเดี๋ยวนี้!”
“หัดสำเหนียกตัวเองเสียบ้าง เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีมิใช่หรือ?”
————————————————————–