ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 918 เปลี่ยนเถอะ
ตอนที่ 918 เปลี่ยนเถอะ
หรงซิวที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักฝีเท้า พลางเหลือบมองนาง และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ประกายแสงเย็นยะเยือกวาบผ่านนัยน์ตาคมกริบ
และจู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังอย่างใดไม่มีสาเหตุ ช่างอันตรายยิ่งนัก!
เขาไม่ได้พูดอันใดออกมา ทว่าในหูกลับได้ยินเสียงหึ่งๆ ราวกับเสียงแมลงดังก้องขัดเจน
“อย่าพูดจาไร้สาระแบบนั้นอีก”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบ และรู้สึกราวกับนางได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่เข้า
หืม เมื่อครู่นางพูดอันใดออกไปนะ…
“วางใจเถิด”
หรงซิวจ้องมองฮูหยินของเขาเชิงย้ำเตือน
“ผู้ชายของเจ้าเก่งทุกอย่าง”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ร้อนผ่าว และลามไปถึงใบหู นางเบือนสายตาหนีทันทีและเดินตามคนอื่นๆ เข้าไป
จิ๊ จะไม่ให้นางห่วงเขาได้อย่างใด!
ทั้งๆ ที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่นางไม่เคยรู้เลยว่าหรงซิวฝึกฝนจนได้เป็นปรมาจารย์แล้ว?”
ก่อนหน้านี้ถึงนางจะรู้ว่าหรงซิวแข็งแกร่งมาก แต่นางก็คิดเสมอว่าเขาเก่งแค่ในด้านศิลปะการต่อสู้เท่านั้น
ทว่าตอนนี้เขากลับกำลังจะแข่งปรมาจารย์กับจ้าวจื่อเฉิง… ลึกๆ แล้วนางไม่มั่นใจเลย!
นอกจากนี้ ถึงพรสวรรค์ของจ้าวจื่อเฉิงในด้านนี้จะด้อยกว่านางเล็กน้อย ทว่าหลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างมุมานะมาหลายปี ก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยากว่าตอนนี้ ระดับพลังปราณในแขนงจอมยุทธ์ของเขานั้นจะเหนือกว่าระดับปรมาจารย์มากเพียงใด!
ทว่าหรงซิวเองก็ไม่ต่างจากพายุที่ยังสงบอยู่…
แต่คนที่ได้รับคำเตือนอย่างเข้มงวดเมื่อครู่ ย่อมไม่กล้าถามคำถามใดๆ อีก
แต่ในเมื่อเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ ฉะนั้นนางก็ควรมั่นใจในตัวเขา…
พอเห็นหรงซิวมีท่าทางสงบเยือกเย็นแต่ก็มั่นใจ เสมือนไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากนัก ฉู่หลิวเยว่ที่แต่เดิมรู้สึกกังวลก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ผู้ชายคนนี้ ไม่เคยทำให้นางต้องเป็นกังวลเลย…
…
ณ ลานฝึกซ้อมด้านหลังตำหนักหยวนเหอ
หรงซิวและจ้าวจื่อเฉิงยืนประจันหน้ากัน
ส่วนซั่งกวนโหยวกับฉู่หลิวเยว่ก็นั่งรอชมการประลองตรงหน้า
บริเวณโดยรอบยังคงมีทหารรักษาการณ์จากกองทหารม้าทมิฬเฝ้าอยู่
ทั่วทั้งลานตกอยู่ในความเงียบ
ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษทั้งสองในสนาม
บางคนสงสัย และบางคนตั้งคำถาม
และยามนี้ ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ก็รู้แล้วว่าชายในชุดขาวอย่างหรงซิวนั้น คือคู่หมั้นของฝ่าบาท
ส่วนจ้าวจื่อเฉิงคือคนที่ขอฝ่าบาทแต่งงานไม่สำเร็จ ดังนั้นทั้งสองคนจึงนัดประลองกัน!
เรื่องนี้ถือได้ว่ามีฉู่หลิวเยว่เป็นเดิมพัน นั่นจึงทำให้พวกเขาจริงจังกับการประลองอย่างมาก
ถึงมองผิวเผินจะดูเหมือนว่าพวกเขาต่างใจเย็นไม่วู่วาม แต่ความเป็นจริงแล้วในใจของบุรุษทั้งสอง กลับมีคลื่นอารมณ์บางอย่างประทุขึ้นไม่หยุดหย่อน
ไกลออกไปนอกประตูตำหนัก มีคนใช้กลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกัน และสอดส่องลอบมองเข้าไปข้างในอย่างระแวดระวัง
“ข้าได้ยินว่าบุรุษชุดขาวนั้นเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาทตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ที่แคว้นเย่าเฉิน และเหมือนว่าเขาจะเป็นองค์ชายเจ็ดของแคว้นด้วยนะ!”
“เย่าเฉินหรือ? นั่นไม่ใช่แคว้นในปกครองของราชวงศ์เทียนลิ่งหรอกหรือ? ถึงเขาจะเป็นองค์ชาย แต่สถานะของเขาก็เทียบกับฝ่าบาท…”
“แต่บนโลกนี้…หาคนที่มีรูปร่างท่าทางแบบนี้ยากมากเลยนะ! เมื่อก่อนข้าคิดว่าคุณชายรองจ้าวเองก็ดี แต่เหตุใดไม่รู้ พอลองเปรียบเทียบสองคนดูแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าคุยชายรองจ้าวด้อยกว่าฝ่ายนั้นนิดหน่อย…”
“นี่ ทั้งหมดที่เจ้าว่ามานั้นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่เห็นจักสำคัญตรงไหน! ฝ่าบาททรงมีสถานะสูงส่ง หากพระนางจะยินยอม ขี้ข้าอย่างเราก็ทำได้แค่ก้มหน้าน้อมรับเท่านั้น…”
“ย้อนกลับไปครั้นคุณชายรองจ้าวออกจากซีหลิง เขาเป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ดแล้ว หลายปีผ่านไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาพัฒนาไปมากเพียงใดแล้ว การประลองครั้งนี้ ข้าเกรงว่ามันอาจจะรู้ผลแล้วก็ได้…”
…
จ้าวจื่อเฉิงมองหรงซิวที่ยืนประจันหน้าเขาอยู่ แล้วประสานมือทั้งสองข้าง
“เรียนเชิญ…”
หรงซิวพยักหน้าอย่างใจเย็น
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของอีกคน จ้าวจื่อเฉิงก็พลันขมวดคิ้ว
เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจไปก่อนโดยไม่บุ่มบ่าม และพอการเผชิญหน้าที่แท้จริงเริ่มขึ้น เขาจะทำให้หรงซิวรู้ว่าเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า[1]มันเป็นอย่างใด!
และคนผู้นั้น ย่อมมิใช่คนที่องค์ชายเจ็ดของแค้วนเย่าเฉินจักต่อกรได้ง่ายๆ!
จ้าวจื่อเฉิงกลั้นหายใจและตั้งสมาธิ เขาแยกเท้าสองข้างออกเล็กน้อย และยกมือขึ้นอย่างสง่างาม
พลันปรากฏมวลพลังปราณสีเงินเส้นหนาเท่าหัวแม่มือขึ้นบนฝ่ามือของเขา
รัศมีของพลังนั่นบริสุทธิ์มาก มันขยับตัวพริ้วไหวเสมือนร่ายรำเบาๆ ไปตามสายลม แต่กลับแฝงด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง!
จากนั้นจ้าวจื่อเฉิงก็สะบัดมือ
พลันพลังปราณดั้งเดิมสายนั้นก็แตกแขนงออกเป็นร้อยสายในพริบตา!
แต่ละสายมีความหนาเท่ากับอันแรก! ระดับลมปราณของพวกมันเท่ากันและสม่ำเสมอทุกสาย!
แค่ความสามารถในการรวบรวมพลังปราณเข้าด้วยกัน และแยกพวกมันออกจากกันอีกครั้ง ด้วยความเร็วที่ว่องไวและสม่ำเสมอ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าการควบคุมพลังปราณดั้งเดิมของจ้าวจื่อเฉิงนั้นสมบูรณ์แบบ!
เส้นสายสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่บนมือของเขา ประหนึ่งปลาที่กำลังว่ายน้ำ ทั้งลื่นไหลและว่องไว
หลังจากนั้น เส้นเหล่านี้ก็เริ่มประสานกันและทับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลรูปวงกลมขนาดมหึมาทันที!
ในขณะที่การสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนนี้กำลังเป็นรูปเป็นร่าง ลมปราณของจ้าวจื่อเฉิงเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน!
เพียงไม่กี่ลมหายใจผ่านไป ค่ายกลสีเงินก็ก่อตัวเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนเสียจนคนมองตกตะลึง!
หึ่ง!
แรงบีบอัดของมวลพลังปราณขนาดใหญ่แผ่ออกมาจากด้านบนค่ายกล และพอมันเริ่มหมุนวน ชั้นอากาศโดยรอบก็ค่อยๆ แยกออกจากกันอย่างเงียบเชียบ และเกิดเป็นช่องว่างสีดำขึ้นมา!
จะเห็นได้ว่าพลังปราณของค่ายกลนี้น่ากลัวเพียงใด!
ซั่งกวนโหยวประหลาดใจมาก เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อย และจ้องมองไปที่ค่ายกลนั่น
“เหนือความคาดหมายจริงๆ…จ้าวจื่อเฉิงได้ทะลวงผ่านขึ้นสู่ปรมาจารย์ขั้นที่แปดแล้ว!”
ด้วยการบีบบังคับเช่นนี้ เขาต้องเป็นปรมาจารย์ขั้นแปดแน่นอน!
จะเห็นได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยย่อท้อและฝึกฝนอย่างสุดกำลังอยู่เสมอ
เมื่อดูจากอายุของเขาแล้ว ปีนี้เขายังไม่ถึงสามสิบเลยด้วยซ้ำ
ทั่วทั้งราชวงศ์เทียนลิ่งมีเพียงไม่กี่คน ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่ปรมาจารย์ขั้นแปดได้ในช่วงอายุเท่านี้!
หลังจากพูดจบ ซั่งกวนโหยวก็หันกลับมามองหรงซิวที่อยู่ตรงข้าม ก่อนจะตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
ร่างสูงโปร่งของหรงซิวยังคงยืนหลังตรงตระหง่าน พร้อมเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังไว้ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง
นี่เขา… ยังไม่ลงมือทำอันใดอีกหรือ?
ในขณะที่จ้าวจื่อเฉิงเริ่มทำมันแล้ว กระทั่งค่ายกลระดับสูงนั่นเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ ทว่าหรงซิวก็ยังไม่คิดจะตอบสนอง!?
หรือว่าเขา… คิดจะยอมแพ้แล้วหรือ?
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะสู้จ้าวจื่อเฉิงไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ควรพยายามให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ? ยืนเฉยๆ แบบนั้นมันหมายความว่าอย่างใดกัน?
ซั่งกวนโหยวขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่มองภาพตรงหน้า ท่าทางของเขาแปลกมาก แต่นั่นก็ทำให้นางสงสัยมากขึ้น
พูดตามตรง จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ระดับความแข็งแกร่งของหรงซิวเลย
ไหนจะเรื่องที่ตอนนี้เจ้าตัวบอกว่าเป็นปรมาจารย์อีก…
นางอยากจะเห็นเหลือเกินว่าหรงซิวช่ำชองในแขนงนี้มากขนาดไหนกันแน่?
…
จ้าวจื่อเฉิงลอบมองปฏิกิริยาของหรงซิวที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอันใดกับความยิ่งใหญ่ของเขา
และจากที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ เขาก็ยิ่งหัวร้อนมากกว่าเดิม
เขาอุตส่าห์ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมดเพื่อสร้างมันขึ้นมา แต่หรงซิวกลับดูไม่ใส่ใจเลยสักนิด
จ้าวจื่อเฉิงขบเม้มริมฝีปากแน่น และถ่ายพลังเข้าไปในค่ายกลมากกว่าเดิม!
จนปรากฏร่างเงาขนาดใหญ่ขึ้นที่ด้านบนค่ายกล!
มองแวบแรกมันดูเหมือนเสือ!
“ค่ายกลพยัคฆ์เหี้ยม!”
กรรร์!
เสียงคำรามอันน่าตกใจดังกึกก้อง เจ้าเสือร้ายกระโดดออกมาและพุ่งตรงไปหรงซิวทันที!
ทว่าเพียงพริบตา ก็มีร่างสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าหรงซิว!
มันคือสิงโตขาว!
ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งอันเย็นชาของมันจ้องมองเสือร้าย ก่อนจะยกอุ้งเท้าขึ้น
พั๊วะ!
รวดเร็วดังลำแสงที่พุ่งผ่าน พลันภาพของเสือร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ทันที!
หรงซิวเบิกตาขึ้นมองเล็กน้อย ริมฝีปากบางเฉียบยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา
“แขนงนี้ไม่ผ่าน เปลี่ยนเป็นแขนงที่ข้าได้ลงมือเถอะ”
[1] เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า หมายถึง ในหมู่ผู้มีความสามารถก็ยังมีผู้เก่งกาจยิ่งกว่า
————————————————————–