ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 921 เคียงข้างนาง
ตอนที่ 921 เคียงข้างนาง
จ้าวจื่อเฉิงยอมจำนนจริงๆ แล้ว!
ครั้นสิ้นสุรเสียง ทุกคนรอบๆ ต่างก็ทำหน้าตาสับสนงงงวย
อันที่จริง เมื่อเห็นฉากเมื่อครู่นี้แล้ว ก็คงสามารถจินตนาการผลลัพธ์ได้แน่นอน
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจื่อเฉิงไม่มีกำลังที่จะต่อสู้อีกแล้ว และถึงดึงดันจะสู้ต่อ เขาก็ไม่มีทางชนะได้เลย
ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หรงซิวที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับไม่เป็นอันใดเลย ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่สองเท้าของเขาก็ยังไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ!
เขาทำเพียงกวาดตามองแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นวาดสัญลักษณ์สองเส้นเท่านั้นเอง!
เช่นนี้แล้ว ยังจักฝืนสู้ต่อไปเพื่ออันใดอีก?
มันก็สมควรแล้วที่เขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
แต่ทว่า… หนึ่งชั่วยามก่อน ใครจะไปเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงเช่นนี้?
จ้าวจื่อเฉิงผู้นั้นเป็นถึงปรมาจารย์ระดับแปดเชียวนะ!
“ผู้อาวุโสเฉินเค่อ เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นมันใช่หรือไม่… นั่นมัน… ตกลงมันใช่ค่ายกลหรือเปล่า?”
ผู้อาวุโสของราชวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงต่ำทุ้ม
ผู้อาวุโสเฉินเค่อขมวดคิ้วและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“นั่นคือค่ายกลจริงๆ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสหลายคนต่างหันมองหน้ากันยกใหญ่
“จะมีค่ายกลเช่นนี้ได้อย่างใด? อีกอย่างมันก็เป็นแค่เส้นพลังสองเส้นมาผสานกัน… มันจะสามารถทำลายค่ายกลระดับแปดได้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อจ้องมองหรงซิวที่อยู่บนสนามและไม่ได้อธิบายอันใดอีก
เพราะอันใด… เพราะอันใดน่ะหรือ?
นั่นเพราะค่ายกล “กากบาท” ที่หรงซิวสร้างขึ้น แข็งแกร่งกว่าพลังปราณของจ้าวจื่อเฉิงอย่างใดล่ะ!
หรือกล่าวอีกนัยก็คือ ยิ่งระดับของปรมาจารย์สูงเท่าไร ก็จะยิ่งควบคุมพลังได้อย่างอิสระมากขึ้นเท่านั้น
ในกรณีเช่นนี้ ยิ่งค่ายกลซับซ้อนมากเท่าไร พลังของมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดทุกคนต่างมึนงงกับชัยชนะของหรงซิว
เพราะในสายตาของคนอื่นๆ แล้ว เจ้าสิ่งนั้นของเขาไม่ถือว่าเป็นค่ายกลด้วยซ้ำ!
แต่มันกลับมีแรงกดดันที่แข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับแปดอย่างชัดเจน ขุมพลังที่ซึ่งทำลายล้างทุกอย่างให้ย่อยยับอย่างง่ายดาย!
และจู่ๆ ผู้อาวุโสเฉินเค่อก็นึกขึ้นมาได้ว่า เคยมีข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์ระดับสูงสุด ที่สามารถทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้ และสามารถเปลี่ยนค่ายกลที่ซับซ้อน ให้กลายเป็นค่ายกลที่เรียบง่ายได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมีพลังอันแกร่งกล้าจนน่าสะพรึงกลัวอีกด้วย
หรือว่าหรงซิว… จะเป็นคนผู้นั้น!?
คนที่สามารถไปถึงพลังปราณขั้นนั้นได้ ล้วนเป็น…
“หรงซิวผู้นี้ เขาเป็นใครกันแน่นะ?”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อโพล่งถามออกไปอย่างอดไม่ได้
“เขาเป็นองค์ชายลำดับเจ็ดแห่งแคว้นเย่าเฉิน และยังเป็นคู่หมั้นของเยว่เอ๋อด้วย”
ตอนนั้นเองซั่งกวนโหยวก็ดึงสติกลับมาได้ และพอได้ยินคำถามของผู้อาวุโสเฉินเค่อ เขาก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ผู้อาวุโสหลายท่านต่างพากันตกตะลึง
แคว้นเย่าเฉิน?
นั่นมันสถานที่ที่ฉู่หลิวเยว่จากมามิใช่หรือ?
สถานที่แห่งนั้นเป็นเพียงแคว้นในปกครองของราชวงศ์เทียนลิ่ง… จักมีบุคคลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างใด!?
ซั่งกวนโหยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ความกังวลที่อยู่ในใจของเขาก็ยังไม่สงบลง สายตาที่มองไปยังหรงซิวนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม
เขามองไปที่ฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง และถอนหายใจราวกับมีบางอย่างกวนใจไม่หาย
“สิ่งที่เยว่เอ๋อพูดนั้นเป็นความจริง!”
เมื่อเทียบกับนางแล้ว พรสวรรค์และพละกำลังของหรงซิวนั้นถือว่าไม่เลวเลย!
เป็นพรสวรรค์เดียวที่อยู่เหนือปรมาจารย์ จนสามารถบดขยี้จ้าวจื่อเฉิงผู้นี้ได้!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสร้างพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์เลย!
แม้ว่าต้นตระกูลของเขาจะไม่ได้สูงส่งนัก ทว่าขอแค่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ก็เพียงพอแล้ว!
ในยามนี้ ร่องรอยของความสงสัยเมื่อครู่ก่อนได้หายไปหมดสิ้น!
เมื่อเป็นแบบนี้ ซั่งกวนโหยวถึงรู้สึกโล่งใจเสียที!
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาเบาๆ นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
อันที่จริง แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้เลยว่าหรงซิวนั้นแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้…
การโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น ต่อให้เป็นนางที่ต้องสู้กับเขา แต่นางเองก็คงสู้ไม่ไหวเช่นกัน!
นี่หรงซิวเขา… ฝึกพลังปราณจนถึงขั้นนี้ได้อย่างใดกัน?
…
ซั่งกวนโหยวลุกขึ้นและมองไปที่หรงซิว
“หรงซิว เจ้านี่มัน…ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!”
หรงซิวพยักหน้ายิ้มๆ แล้วค่อยๆ ก้มโค้งคำนับเล็กน้อย
“ฝ่าบาททรงยกย่องเกินไป”
“เกินไปที่ไหนกัน!?”
ความประทับใจแรกของซั่งกวนโหยวที่มีต่อหรงซิวนั้นดีมากอยู่แล้ว และตอนนี้เขาได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของหรงซิวด้วยตาของเขาเอง ก็ยิ่งทำให้ในใจของเขาชื่นชมหรงซิวมากขึ้นไปอีก
“เจ้าคู่ควรกับมันแล้ว!”
คิ้วของหรงซิวขยับเล็กน้อย แววตาของเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ภายในนั้น
ดูเหมือนว่าการเดินทางมาพบพ่อตาในวันนี้จะเป็นไปได้ด้วยดี
จากนั้นซั่งกวนโหยวก็เบนสายตาไปมองจ้าวจื่อเฉิง
“ทหาร! รีบพาคุณชายรองจ้าวไปพักผ่อนเสีย!”
ใบหน้าของจ้าวจื่อเฉิง เปลี่ยนเป็นสีแดงปนขาวสลับกันไป เขารีบกล่าวทันที
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง แต่ตัวข้านั้นมิเป็นไรมาก สามารถกลับจวนเองได้พ่ะย่ะค่ะ”
แค่พ่ายแพ้ในครานี้ก็มากพอแล้ว หากได้รับการช่วยเหลืออีก คงได้ขายหน้ากันทั้งบางไม่เหลือศักดิ์ศรีให้เชิดหน้าชูตาแน่ๆ
จ้าวจื่อเฉิงเช็ดเลือดจากมุมปากของเขา ก่อนจะค่อยๆ กัดฟันแล้วเงยหน้าขึ้นมองหรงซิว
“เจ้าช่างแข็งแกร่งจริงๆ”
เขาไม่ได้พูดเพื่อประชดประชัน ไม่ได้พูดด้วยความอิจฉา หากแต่พูดออกมาจากใจจริง
เขายอมรับจากใจเลย
“ข้านั้นละอายใจตัวเองยิ่งนัก ทว่ากล้าทำก็ต้องกล้ายอมรับผลของมัน! ข้าเข้าใจดี พรุ่งนี้ข้าจะออกจาก
ซีหลิง และต่อจากนี้ไปข้าจะไม่มากวนใจพวกเจ้าอีก”
ขณะพูดหัวใจของจ้าวจื่อเฉิงก็เจ็บปวดเสมือนถูกเข็มเงินทิ่มแทงหลายต่อหลายครั้ง มันเจ็บไปทั้งใจ
เขาหันไปมองฉู่หลิวเยว่ พร้อมกับประกายแสงในแววตาคู่คมที่ค่อยๆ เลือนหายไป
จากนั้นเขาก็ยิ้มให้นาง
การกลับมาในครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่ได้สิ่งที่ปรารถนามาตลอด แต่เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย
สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดแล้ว และสิ่งที่ควรทำก็ได้ลงมือทำไปแล้ว
มันไม่มีอันใดต้องเสียดายอีก!
“จากนี้ไปขอให้เจ้า… ดูแลนางให้ดี”
จ้าวจื่อเฉิงกุมหน้าอกของเขาและไอโขลกออกมา
แววตาของหรงซิวหรี่ลงเล็กน้อย
“นางคือแก้วตาดวงใจของข้า และข้าจะทะนุถนอมนางให้มากกว่าใครเป็นร้อยเป็นพันเท่าอย่างแน่นอน”
จ้าวจื่อเฉิงหัวเราะเยาะกับตัวเอง
“ก็จริงของเจ้า ข้าคงจะคิดมากเกินไป”
ชายผู้นี้แตกต่างจากเจียงอวี่เฉิงอย่างสิ้นเชิง
เขาสามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นางได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จ้าวจื่อเฉิงก็หันหลังและจากไป
ส่วนหรงซิวเองก็กำลังยกเท้าขึ้น เพื่อเดินไปหาฉู่หลิวเยว่
แต่หลังจากเดินไปได้เพียงสองก้าว จ้าวจื่อเฉิงก็หยุดเดินเสียดื้อๆ แล้วหันกลับมาถามด้วยความลังเล
“ข้าขอถามอีกสักคำถามได้หรือไม่?”
หรงซิวชายตามองเขา
จ้าวจื่อเฉิงกลั้นหายใจและถามว่า
“เจ้า…ฝึกฝนพลังปราณถึงขั้นนั้นได้อย่างใดกัน?”
ไม่รู้ว่าหรงซิวกำลังคิดอันใดอยู่ ทว่ารอยยิ้มจางๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เยว่เอ๋อสอนข้า”
เขาไม่ได้สนใจในแขนงปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย แต่สาเหตุที่เขาเริ่มฝึกฝนก็เพราะเขาจะได้ใช้เวลากับนาง นานๆ ก็เท่านั้น