ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 928 ความผันผวน
ตอนที่ 928 ความผันผวน
เย่ว์หลิงต้องการถามบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากออกไป
และในขณะที่หรงซิวยกกล่องไม้ขึ้นมา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
“องค์ชายขอรับ ข้าน้อยมีสารมาแจ้งขอรับ”
นี่คือเสียงของอวี๋มั่ว
เย่ว์หลิงหันมองหรงซิวทันที
หรงซิวจึงตอบกลับไปเบาๆ
“เข้ามาได้เลย”
และตอนนั้นเอง เย่ว์หลิงถึงตระหนักว่าเจ้านายของเขาเป็นคนเรียกตัวอวี๋มั่วมา
อวี๋มั่วผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไป เมื่อเห็นเย่ว์หลิงเขาก็ผงกศีรษะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเล็กน้อย พลันรีบวิ่งไปคำนับหรงซิว
“องค์ชาย ท่านเดาไม่ผิดเลย เจียงอวี่เฉิงติดต่อกับคนผู้นั้นอีกครั้งจริงๆ ขอรับ”
เย่ว์หลิงตกใจเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น และเอ่ยขอตัวอย่างมีชั้นเชิงทันที
“นายท่าน ข้าน้อยขอตัวไปตรวจดูสินค้าด้านนอกก่อนนะ ขอรับ”
หรงซิวพยักหน้า และเย่ว์หลิงก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ครั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูให้อย่างระมัดระวัง
หลังจากออกไปพ้นรัศมีของประตู เย่ว์หลิงพลันทำหน้าเคร่งเครียดทันควัน
ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขากำลังวางแผนทำการอันใดบางอย่าง…
…
ช่วงนี้อวี๋มั่วพักอาศัยอยู่ในซีหลิงเพื่อสืบเรื่องของเจียงอวี่เฉิงอย่างลับๆ
หลังจากแผนการลับของเขาถูกเปิดโปง เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของเจียงอวี่เฉิงก็ถูกประหารชีวิต ส่วนเจียงอวี่เฉิงเองก็ถูกจำคุกเช่นกัน
อวี๋มั่วใช้เวลาอยู่นาน และในที่สุดก็ค้นพบเงื่อนงำนี้
“เวลาที่คาดไว้คือเมื่อวานก่อน”
ในดวงตาของอวี๋มั่วแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
“เขาเลือกช่วงเพลานี้เพราะคนในตระกูลเจียงเสียชีวิตหมดแล้ว และทุกคนก็ลดความหวาดระแวงในตัวเขาลง เจียงอวี่เฉิงผู้นี้เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด และเพื่อให้ตัวเองรอด เขาถึงขั้นยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของคนในครอบครัว”
หรงซิวแสยะยิ้ม
“แต่ไหนแต่ไร เจ้านั่นก็เห็นแก่ตัวเองมาตลอด ไม่แปลกที่เขาจะทำสิ่งนี้”
เจียงอวี่เฉิงคิดว่าตัวเองนั้นเก่งกาจเหนือผู้ใด แต่กลับฉลาดเกินไปจนเสียรู้เสียเอง
“แล้วหาตัวคนผู้นั้นเจอหรือยัง?”
อวี๋มั่วชะงักพลันส่ายหัว
“ข้าน้อย… ค้นพบเพียงว่าอีกฝ่ายคือคนที่คอยหนุนหลังเจี่ยงอวี่เฉิงมาตลอด แต่ยังไม่พบตัวตนของเขา”
หรงซิวไม่ได้ว่าอันใดเขา
“แค่นี้เจ้ายังสืบหามาได้ง่ายๆ เช่นนั้นข้อมูลที่เหลือคงไม่อยากเกินความสามารถของเจ้าแล้ว”
“ตอนนี้เจียงอวี่เฉิงถูกขังอยู่ในตำหนักฮวาหยาง แล้วเขาส่งข่าวออกไปได้อย่างใด?”
อวี๋มั่วหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ข้าน้อยจะพาคนเข้าไปตรวจหาหนอนบ่อนไส้ในตำหนักฮวาหยางเองขอรับ!”
…
ณ จวนตระกูลมู่
วันรุ่งขึ้น แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง
เปลือกตาของมู่ชิงเห่อกระตุกเล็กน้อยและในที่สุดก็เปิดออก
ยามลืมตาขึ้นในคราแรก ดวงตาของเขาพร่ามัวจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง
“ตื่นแล้วหรือ?”
พลันมีเสียงเย็นชาดังมาจากด้านข้าง
มู่ชิงเห่อหันศีรษะไปดู และเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
เจี่ยนเฟิงฉือกำลังกอดอกมองเขาด้วยความเย้ยหยัน
ใต้ตาเขาปรากฏรอยคล้ำสองรอย อีกทั้งสีหน้าซีดเซียวราวกับพักผ่อนไม่เพียงพออีก
“น้อยคนนักที่สามารถทำให้ข้ายอมลงทุนทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในการช่วยชีวิตคนเช่นนี้ ต่อจากนี้ไป เจ้าเป็นหนี้ชีวิตข้าแล้ว! รู้ไว้เสียด้วย!”
มู่ชิงเห่อลุกขึ้นนั่ง พลางจับประคองศีรษะที่ยังปวดอยู่ ใบหน้าของเขาเฉยชาไร้ความรู้สึก
“จะเสียแรงช่วยข้าไปไย”
ร่างกายของเขา เขาย่อมรู้ดี เจี่ยนเฟิงฉือ… ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยจริงๆ
เมื่อเจียงอวี่เฉิงได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และอยากจะขึ้นไปทุบตีเขา
“เจ้านี่มัน…”
แต่พอคิดได้ว่ากว่าตนจะยื้อชีวิตเขากลับมาได้นั้นยากลำบากเพียงใด เขาก็ยอมลดโทสะลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมิวายชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง
“ปากดีจริงเชียว! ข้าช่วยเจ้าเพราะกินอิ่มแล้วไม่มีอันใดทำ[1]เฉยๆ หรอก!”
มู่ชิงเห่อเอนกายลงนอนบนเตียง แล้วหลับตาไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
“ข้าไม่ได้ติดหนี้ชีวิต แค่กับเจ้าคนเดียว”
สิ่งที่เขาติดค้างฉู่หลิวเยว่ไว้ ยังมิได้ถูกชำระล้างเสียหมด
เจี่ยนเฟิงฉือระงับความโกรธในใจของเขาไว้ และตั้งใจว่าจะไม่สู้รบปรบมีกับเขาในเรื่องนี้อีก ร่างโปร่งของบุรุษก้าวไปข้างหน้า แล้วดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลงตรงข้ามมู่ชิงเห่อ
“บอกข้าสิ! ว่าเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของเจ้ากันแน่!”
มู่ชิงเห่อกล่าวเสียงเบา
“ก็แค่แผลเก่า”
เจี่ยนเฟิงฉือหัวเราะเย้ยหยันไม่หยุด
“เจ้าคิดว่าเซียนหมออย่างข้าโง่เขลานักหรือ? พิษในร่างกายของเจ้า มันสั่งสมมานานหลายปีแล้วใช่หรือไม่? ยามนี้พิษอันเย็นจัดนี้ ได้แทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายในของเจ้าแล้ว อย่าว่าแต่ล้างพิษให้หมดเลย และต่อให้ล้างออกบางส่วน ชะตากรรมของเจ้าก็แทบจะไม่เปลี่ยน! ในซีหลิงและทั่วทั้งราชวงศ์เทียนลิ่งไม่มีพิษชนิดนี้ แสดงมีใครบางคนตั้งใจทำมันขึ้นมาแน่นอน และเจ้าห้ามตอบว่าเจ้าไม่รู้เด็ดขาด”
มู่ชิงเห่อปิดปากเงียบราวไม่อยากอธิบายให้มากความ
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนเฟิงฉือก็ลุกขึ้น
“วางใจเสีย ข้าช่วยเจ้าเรื่องยาพิษไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ แค่ข้าเข้าวังไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคนก็พอแล้ว”
พอพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปทันที
แต่ในจังหวะที่ปลายเท้ากำลังจะข้ามผ่านธรณีประตู สุดท้ายก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเขา
“รอเดี๋ยว!”
…
สำนักชงซูเก๋อ
เย่หรานหร่านมาถึงสวนสมุนไพรก่อนใคร เพื่อมาจัดเตรียมวัตถุดิบยา
แต่พอเข้าไปถึงกลับเห็นว่ามีคนอยู่ก่อนแล้ว
นางเพ่งมองอย่างพินิจ แล้วตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าสำนักเก๋อ?!”
อวี้ฉือซงตัดใบไม้ที่ตายแล้วของต้นหลงเถิงจือในมือเขา พลางยืดตัวขึ้น ก่อนจะเห็นเย่หรานหร่านแล้วยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น
เย่หรานหร่านเดินไปถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จ้าวสำนักเก๋อ เหตุใดท่านถึงมาดูแลมันด้วยตัวเองเล่า?”
อวี้ฉือซงหัวเราะและพูดว่า
“ข้าไม่มีอันใดทำ เลยมาดูมันเสียหน่อย”
เย่หรานหร่านหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ท่านคิดถึงหลิวเยว่หรือ?”
เดิมทีหลิวเยว่เป็นคนดูแลสมุนไพรพวกนี้ ทว่าท่านเจ้าสำนักกลับมาอยู่ที่นี่ จึงไม่แปลกที่นางจะคิดเช่นนั้น
อวี้ฉือซงหัวเราะแล้วเคาะหน้าผากนางเบาๆ
“เจ้านี่นะ เรียกแบบนั้นในชงซูเก๋อของพวกเรามันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าออกไปข้างนอกห้ามเรียกนางเช่นนั้นเด็ดขาด”
ในปัจจุบันนางได้สถานะเดิมของตัวเองคืนมาแล้ว ยิ่งกว่านั้นในฐานะจักรพรรดิ ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของราชวงศ์เทียนลิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อนางอย่างหยาบโลนได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เย่หรานหร่านแลบลิ้นปลิ้นตา
“หรานหร่านรู้หน่า!”
นางใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับสิ่งนี้ได้!
“เจ้าสำนักเก๋อ ถ้าท่านคิดถึงเธอ เหตุใดท่านไม่ไปที่พระราชวังเลยเล่า?”
อย่างใดเสีย ท่านเจ้าสำนักเก๋อก็เป็นอาจารย์ของหลิวเยว่มิใช่หรือ?
อวี้ฉือซงถอนหายใจและส่ายหัว
“ช่วงนี้นางคงจะยุ่งมาก อีกอย่าง…”
“เจ้าสำนักเก๋อ!”
แต่จู่ๆ ลู่จือเหยาก็วิ่งปราดเข้ามา
“เจ้าสำนักเก๋อ ฉีต้าเหอบอกว่าเขาจำเรื่องที่ชายแดนทางใต้ได้แล้ว!”
ดวงตาของอวี้ฉือซงเป็นประกายทันที
“รีบไปเร็ว!”
…
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในเมืองซีหลิงกำลังสงบลงทีละน้อย
ตระกูลเจียงและตระกูลซย่าที่ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งยโสและอยู่ยงคงกระพัน ล้วนถูกล้างบางทั้งโคตรตระกูลภายในชั่วข้ามคืน
นอกจากนี้ ครอบครัวและผู้คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับสองตระกูลนั้นเอง ก็ถูกเก็บกวาดด้วยเช่นกัน
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งโลกเหล่านี้ ก็เหมือนจะค่อยๆ ทุเลาลง
มนุษย์เรานั้นลืมง่าย
เพราะไม่นานจากนั้น ความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นในเมืองซีหลิง ก็ค่อยๆ เจือจางลง
ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
และในที่สุดกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงหลังจากการตัดศีรษะ ก็สลายไปจนหมดสิ้น
ประชาชนทั่วไปล้วนดำเนินชีวิตไปตามปกติ
ลืมเรื่องซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงที่ถูกคุมขังไปแล้ว
ทว่าในสถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็น กลับยังมีกระแสน้ำเชี่ยวกราดไหลวนอยู่อย่างลับๆ
…
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และดูเหมือนว่าวันที่ตกลงกันไว้จะมาถึงแล้ว
ฉู่หลิวเยว่กำลังฝึกซ้อมอยู่ภายในตำหนักเจาเยว่
นางนั่งขัดตะหมาด พลางมือวางบนเข่าทั้งสองข้าง และพลังมหาศาลก็พุ่งพล่านออกมา!
พลังแห่งสวรรค์และโลกรอบตัวเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางทีละนิด!
…นางพร้อมจะทะลวงขั้นพลังปราณแล้ว!
[1] กินอิ่มแล้วไม่มีอันใดทำ เป็นสำนวนในภาษาจีนแต้จิ๋วที่บ่งบอกว่า ว่างมาก ไม่มีการงานทำ จนไปทำสิ่งที่ไม่ใช่ธุระของตน