ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 933 ข้าคือจักรพรรดิ
ตอนที่ 933 ข้าคือจักรพรรดิ
ฉู่หลิวเยว่กระแอมเบาๆ
“ผู้อาวุโสซูจิ่น โปรด… โปรดเก็บอาการของท่านด้วย…”
ในอดีตผู้อาวุโสซูจิ่นเคยเป็นอาจารย์ที่สอนการเป็นปรมาจารย์ให้นาง
เมื่อก่อนนางหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาก ไม่คิดเลยว่าปัจจุบันจะหนักกว่าเดิมเสียอีก
“นี่ แต่ไหนแต่ไรเจ้าน่ะ แค่เห็นอักขระค่ายกลครั้งเดียวก็จำมันได้แล้วมิใช่หรือ! คิดเสียว่าข้าขอร้องเจ้าในฐานะอาจารย์แล้วกัน หน่านะ?”
ผู้อาวุโสซูจิ่นประสานมือเข้าด้วยกัน พลางยิ้มหวานให้ฉู่หลิวเยว่อย่างประจบสอพลอ โดยไม่สนใจลมปรารณอันสูงส่งและเย็นเยียบตรงหน้าเลย
“คือว่า…”
“ซูจิ่น ถ้าเจ้าอยากอ่านกลไกของมันจริงๆ ข้าเองสามารถช่วยเจ้าได้ พวกเราแบ่งกันจำคนละส่วนดีหรือไม่?”
เซียวหรานที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาตลอด เปิดปากพูดด้วยความกระตือรือร้นอย่างอดไม่ได้ มองไปที่ผู้อาวุโสซูจิ่นด้วยสายตาอ่อนโยนมาก
ผู้อาวุโสซูจิ่นโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ได้ๆ ความจำของเจ้ากับข้าสู้เยว่เอ๋อไม่ได้หรอก!”
ความผิดหวังแล่นผ่านดวงตาของเซียวหรานพลันหายวับไป แต่สุดท้ายเขาก็มองไปที่ค่ายกลนั่น แล้วใช้หัวใจจดจำแทน
ถึงจะช่วยได้เพียงน้อยนิดก็ไม่เป็นไร…
ฉู่หลิวเยว่แอบยิ้มในใจ
เซียวหรานเป็นผู้อาวุโสคนแรกของสำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักวิชาพวกเขาด้วย สถานะและศักดิ์ศรีของเขานั้นสูงกว่าของเจ้าสำนักเพลิงศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
เขาไล่ตามผู้อาวุโสซูจิ่นมายี่สิบปีแล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที
คิดถึงไม่ว่าจนถึงตอนนี้แล้วเขาก็ยังไม่ยอมแพ้
“ผู้อาวุโสซูจิ่นโปรดวางใจ ข้าจะช่วยจำมันให้ แต่กระนั้น หากท่านต้องการศึกษาอย่างละเอียด ท่านอาจต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเซียวหรานบ้างเป็นครั้งคราว”
เซียวหรานมองฉู่หลิวเยว่อย่างซาบซึ้งใจ
แต่มีหรือที่ผู้อาวุโสซูจิ่นจะไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่คิดจะทำอันใด พลันบีบจมูกศิษย์รักเสียหนึ่งที
“ปลิ้นปล้อนจริงเชียว! ตอนนั้นเจ้าเองก็เป็นถึงปรมาจารย์ขั้นแปด จักพูดอันใดก็ให้มันสมเหตุสมผลเสียหน่อย!”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว”
เจี่ยนเฟิงฉือเหลือบมองนางด้วยหางตาอย่างอดไม่ได้
“เจ้านี่ไม่รู้จัก “ถ่อมตัว” เลยสักนิด โปรดตั้งสติแล้วจริงจังหน่อยเถิด”
แม้ว่านางจะไม่ใช้ผู้ที่เคยครอบครอบชีพจรเทียนจิงแล้ว แต่สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์ของนางแน่นอน!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อัจฉริยะระดับแนวหน้าด้านปรมาจารย์ที่เขาเคยเห็นก็มีเพียงฉู่หลิวเยว่
มิฉะนั้น ผู้อาวุโสซูจิ่นคงไม่ร้องขอให้นางช่วยหรอก
ฉู่หลิวเยว่จึงแสร้งยอมรับอย่างขลาดอาย พลันยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างจำนน
“ก็ได้ๆ รอข้าสักหนึ่งเค่อแล้วกัน”
หลังจากพูดจบ นางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังค่ายกลที่สอดประสานพันกันตรงหน้า
ผู้คนโดยรอบเงียบเสียงลงทันที และเฝ้าดูนางอย่างใจจดใจจ่อ
“เหอะ”
แต่แล้วก็มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังมาจากข้างหลังพวกเขา
“สมัยนี้มีพวกอวดดีอย่างลองภูมิอยู่ทุกที่จริงๆ! ปรมาจารย์ระดับเก้าหลายคนของราชวงศ์เป่ยหมิงใช้เวลาสร้างค่ายกลนี้ถึงหนึ่งปี! คนธรรมดาอย่างพวกเจ้ามองดูมัน ย่อมตาลายสมองตื้อกันให้ควั่น แต่กระนั้นก็ยังคิดจะจำอักขระทั้งหมดอีก… เหอะ เหอะ ช่างน่าขันเสียจริง!”
ผู้อาวุโสซูจินและคนอื่นๆ หันศีรษะไปมอง ก่อนจะเห็นกลุ่มคนที่มาประชิดด้านหลังพวกเขา
อีกฝ่ายเองก็มีสิบเอ็ดคนเช่นกัน
คนที่พูดคือหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ดูอายุอานามไม่น่าเกินยี่สิบปีด้วยซ้ำ นางมีรูปร่างเพรียวบางและแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝู [1]อย่างใดก็ตาม มีความเย่อหยิ่งเล็กน้อยปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วและดวงตาของนาง
ผู้อาวุโสเฉินเค่อชำเลืองมองนาง จากนั้นดวงตาของเขาก็สบเข้ากับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
ใบหน้านั่นดูธรรมดา แต่เพราะเคราที่ถูกตกแต่งอย่างดีนั้น ทำให้อีกฝ่ายดูสง่างามมาก
ที่แขนเสื้อและชายเสื้อถูกปักเย็บด้วยลายมังกร ซึ่งเผยให้เห็นตัวตนของเขาอย่างชัดเจน
“รั่วหลี อย่าหยาบคายสิ”
ชายวัยกลางคนพูดราวกับจะตำหนิ ทว่าน้ำเสียงของเขานั้นอ่อนโยนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาประคบประหงมสตรีผู้นี้เพียงใด
หญิงสาวคนนั้นสบทออกมาเบาๆ
“ข้าแค่พูดความจริงและทนดูการเสแสร้งของคนพวกนี้ไม่ได้ก็เท่านั้น! หรือจะบอกว่าในโลกนี้ มีคนที่แค่มองค่ายกลระดับเก้านี่ครั้งหนึ่ง ก็สามารถจดจำรูปแบบของมันได้แล้ว อย่างนั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนไม่ได้ตำหนินางอีกต่อไป เพราะเขาเองก็คิดแบบเดียวกับนาง
เขายิ้มอ่อนอย่างเหนื่อยใจแล้วส่ายหัว
“เมื่อใดเจ้าจะแก้นิสัยปากไวเช่นนี้ได้กัน!”
“ฝ่าบาท ที่องค์หญิงใหญ่พูดมานั้นก็ถูก แค่เพิ่งถึงชายแดนของราชวงศ์เป่ยหมิงก็เจอเรื่องเช่นนี้แล้ว หากถึงหลินโจวเมื่อใด คงได้เหิมเกริมกว่านี้หลายเท่าเป็นแน่!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงที่อยู่ข้างๆ ช่วยพูดเสริม
ชายวัยกลางคนส่ายหัว
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่การเดินทางมายังราชวงศ์เป่ยหมิงในครานี้ แท้จริงแล้วก็เป็นการมาเยือนเขตแดนของผู้อื่น พวกเจ้าเองก็ควรจะยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง ฝ่ายนั้นเองก็ได้รับเชิญเหมือนเรา แล้วจักกังวลไปไย?”
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปฉู่หลิวเยว่และพรรคพวกของนางอีกครั้ง
ผู้อาวุโสเฉินเค่อก้าวไปข้างหน้า
“ผู้อาวุโสเฉินเค่อแห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง ถวายบังคมจักรพรรดิไหวเหรินแห่งราชวงศ์ไท่อวี่”
ถานไถเฉินมองเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วยิ้มอย่างสุภาพ
“ที่แท้ก็ผู้อาวุโสเฉินเค่อจากราชวงศ์เทียนลิ่งเองหรือ เจ้า… จำข้าได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อทำหน้านิ่งขรึม
“เมื่อสี่สิบสามปีก่อน ท่านเคยมาเยือนเทียนลิ่ง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับท่าน”
สีหน้าจริงจังของถานไถเฉินชะงักไปทันที
เหตุผลที่เขาไปเยือนราชวงศ์เทียนลิ่งในครั้งนั้น ก็เพื่อการอภิเษกสมรส
ในตอนนั้น ความแข็งแกร่งของราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น เหนือกว่าแข็งแกร่งกว่าราชวงศ์ไท่อวี่ไม่มาก ดังนั้นทั้งสองราชวงศ์จึงวางแผนจัดงานอภิเษกสมรสเพื่อเกี่ยวดองกัน
แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายเขาก็ถูกปฏิเสธ
ตั้งแต่นั้นมา เขาจึงรู้สึกขายหน้าและไม่ไปเยือนเทียนลิ่งอีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งโดยรวมของราชวงศ์ไท่อวี่นั้นเหนือกว่าของเทียนลิ่ง มาก แถมยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทียนลิ่งเมื่อไม่นานมานี้อีก แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อยากลดตัวลงไปเทียบกับอีกฝ่าย
“ก็อย่างที่เจ้าว่า ข้าเองก็จำเรื่องเก่าๆ เช่นนั้นไม่ค่อยได้”
ในตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจผู้อาวุโสเฉินเค่อเสียเท่าไร และหลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ลืมมันไปหมดแล้ว”
“แต่ข้าไม่ทราบเลยว่าทางราชวงศ์เทียนลิ่งเอง ก็เข้าร่วมการเปิดหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงในครานี้ด้วย…”
ถานไถเฉินยิ้มกว้าง แต่กลับเป็นร้อยยิ้มที่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตามด้วย
“ข้าก็เผลอคิดไปว่า ช่วงนี้พวกเจ้าน่าจะยุ่งมาก…”
ประโยคนี้แฝงไปด้วยการถากถาง
ผู้อาวุโสเฉินเค่อพลันขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ท่านบอกว่าช่วงนี้พวกข้าค่อนข้างยุ่ง แต่ในเมื่อทางราชวงศ์เป่ยหมิงส่งจดหมายเชิญมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องไว้หน้าพวกเขาเป็นธรรมดา ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ”
หรือก็คือ พวกเขาเองก็ได้รับจดหมายเชิญจากราชวงศ์เป่ยหมิง เช่นเดียวกับราชวงศ์ไท่อวี่ แล้วมันจักต่างกันตรงไหนไม่ว่าจะสูงส่งเลิศเลอเพียงใด ก็เหมือนกันทั้งนั้น!
ถานไถเฉินแทบสำลัก ใบหน้าของเขามืดมนขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไม่ทราบจริงๆ ว่าราชวงศ์เทียนลิ่งเองก็ได้รับเชิญด้วย
ทั้งในแง่ของความรู้สึกและหลักเหตุผล ราชวงศ์เทียนลิ่งในปัจจุบันล้วนไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมเลยสักนิด!
ทว่าผู้ที่จะให้คำตอบนี้ได้ มีเพียงคนของราชวงศ์เป่ยหมิงเท่านั้น
“ราชวงศ์เทียนลิ่ง? หมายถึงราชวงศ์ที่ช่วงนี้ถูกปกครองด้วยองค์หญิงแห่งอาณัติสวรรค์ชื่อดังนั่นใช่หรือไม่?”
ถานไถรั่วหลีเอ่ยถาม
นางจงใจเน้นคำว่า “องค์หญิงแห่งอาณัติสวรรค์”
ในอดีตมีข่าวว่าราชวงศ์เทียนลิ่งได้ให้กำเนิดผู้ถือครองชีพจรตี้จิง และทั่วทั่งราชอาณาจักรล้วนทราบดี
ราวกับว่าการมีอัจฉริยะเช่นนี้กำเนิดขึ้นนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
ต่อมาพวกเขาก็ได้ยินเรื่องของจักรพรรดินีผู้นั้นอยู่หลายครั้ง
ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องความเก่งกาจของนาง
แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้าย นางจะถูกคู่หมั้นและน้องสาวหักหลัง!
สิ่งนี้ยังจะเรียกว่า “องค์หญิงแห่งอาณัติสวรรค์” ได้อีกหรือ?
มันก็แค่เรื่องตลกไร้สาระต่างหาก!
ผู้อาวุโสเฉินเค่อฟังออกว่านางกำลังเยาะเย้ยประมุขของตน พลันสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และคิดจะโต้ตอบ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับดึงสายตาออกจากค่ายกล พลันหันมามองพวกเขาและพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ทว่าปัจจุบันข้ามิใช่องค์หญิงแล้ว แต่เป็นจักรพรรดิแห่งอาณัติสวรรค์ ที่มีรัชศกนามว่าหยวนซี องค์หญิงใหญ่ถานไถโปรดเรียกข้าว่า จักรพรรดิหยวนซี”
[1]ชุดฮั่นฝู เครื่องแต่งกายประจำชาติของชาวฮั่นแบบดั้งเดิม มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหวง ประมาณปี 2717 –2599 ปี ก่อนคริสตกาล