ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 935 เลือกปฏิบัติ
ตอนที่ 935 เลือกปฏิบัติ
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งยันค้ำเรือไว้ พลันส่งร่างทั้งร่างลอยฉิวขึ้นไปบนอากาศอย่างน่าอัศจรรย์ใจ!
เสื้อคลุมสีครามวาดเส้นโค้งไปในอากาศ เมื่อมองๆ จากระยะไกลจักดูเหมือนภาพวาดจากหมึกสีอ่อน ที่สง่างามกลมกลืนไปกับผืนน้ำและท้องฟ้า
ปลายผมสีแดงแกว่งกวัดไปมาด้วยจังหวะที่หนักแน่นและชัดเจนเสมือนตวัดพู่กัน มันสะบัดพริ้วไหวไปมาราวกับพยายามหลุดพ้นจากความเงียบสงบนี้
“กรู กรู”
มีเสียงนกแปลกๆ ร้องแซมในครา
พลันมีนกสีขาวหนึ่งตัวบินโฉบไปมาอยู่เหนือท้องนภา
นกตัวนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ทั้งตัวของมันเป็นสีขาวราวหิมะ มีเพียงกรงเล็บและส่วนบนของหัวเท่านั้นที่เป็นสีดำ
ความจริงแล้วมันควรจะดูนุ่มนวลและน่ารัก แต่มันมีจงอยปากสีแดงที่แหลมคมและดวงตาที่เฉียบคมไม่แยแส ทำให้มันดูดุดันมากกว่าปกติ
มันกระพือปีกและร่อนลงบนแขนขวาของจวินจิ่วชิง
“เจ้ามาช้าไปหนึ่งก้าว ข้ารู้ก่อนเจ้าแล้ว”
เขาหัวเราะเสียงต่ำ
นางมาที่นี่ทั้งที แน่นอนว่าเขาย่อมจับสัมผัสได้เร็วที่สุด
เขารู้ตั้งแต่ตอนที่นางเดินออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายและมาถึงหลินโจวแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านี้จักทำให้เจ้านกผิดหวังเล็กน้อย ความดุร้ายในดวงตาของมันโหมกระหน่ำขึ้นกว่าเดิม
“เอาล่ะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี และข้าก็มีรางวัลให้เจ้าเยอะแยะเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เจ้านกก็ตื่นเต้นอีกครั้ง พร้อมกระพือปีกอย่างกระวนกระวายราวกับรอไม่ไหว
จวินจิ่วชิงเอียงศีรษะเล็กน้อยและพูดอย่างเกียจคร้าน
“ไปนำระดับเจ็ดขั้นต้นมาให้มันใช้สิ”
ทันใดนั้นทหารรักษาการณ์คนหนึ่งก็ปรากฏตัวที่ริมทะเลสาบ พลางคุกเข่าข้างหนึ่งด้วยความเคารพ
“ขอรับ!”
“อ่า จริงสิ เอาพวกก่อนหน้านี้โยนทิ้งไปด้วย วันนี้ข้าจะให้มันได้ฆ่าอันใดที่สดใหม่”
นายทหารรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตอบกลับทันที
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ!”
“กรู กรู”…
เจ้านกส่งเสียงร้องอีกครั้งอย่างกระตือรือร้น
แขนของจวินจิ่วชิงสั่นเครือจากแรงเขย่า จากนั้นมันก็บินขึ้นไปบนอากาศ!
ในไม่ช้า ร่างของนายทหารและนกสีขาวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จวินจิ่วชิงยืนนิ่งอยู่บนเรือพร้อมเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังไว้
“ทหาร”
ทหารรักษาการณ์สองคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
“องค์ชายทรงมีพระราชโองการอันใดหรือขอรับ?”
“เรื่องที่ข้าสั่งให้พวกเจ้าไปเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ เรียบร้อยดีแล้วหรือ?”
“องค์ชายโปรดวางใจ ข้าน้อยทั้งสองเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อมีอาคันตุกะ ก็จักต้องต้อนรับให้สมเกียรติ”
จวินจิ่วชิงเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“จริงๆ เลยนะ… ปล่อยให้ข้ารอนานเกินไปแล้ว…”
…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ก้าวออกมา คนอื่นๆ ที่เหลือก็ค่อยๆ ทยอยออกมาตามกัน
คนทั้งหมดกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่ามีกลุ่มทหารในชุดเกราะเต็มยศ ยืนเฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่
และมีบุรุษสองคนยืนอยู่ด้านหน้าค่ายกลเคลื่อนย้าย
คนหนึ่งสูงใหญ่ดั่งชายชาตรี ส่วนอีกคนนั้นผอมกว่ามาก
ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน แต่คนหนึ่งกลับดูแข็งแกร่ง ส่วนอีกคนกลับดูอ่อนแอ
เห็นได้ชัดว่าเขาสวมเครื่องแบบข้าหลวงเหมือนกัน แต่ชายร่างผอมกว่านั้นตัวเล็กกว่าชายร่างกำยำข้างๆ เขาอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอใครบางคนอยู่
หลังจากที่พวกของฉู่หลิวเยว่ก้าวออกมา คนทั้งสองก็หันขวับไปมองทันที
เมื่อพวกเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างหน้า ดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววตกใจ
แม้แต่ทหารที่อยู่รายรอบค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองนางอีกสองสามครั้ง
บนโลกนี้มีสาวงามอยู่นับไม่ถ้วน
ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่จะสวยสดงดงามและสูงส่งเท่าสตรีผู้นี้
ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็รู้แก่ใจว่าดวงหน้านี้สมบูรณ์แบบเพียงใด แต่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนได้มากที่สุด กลับเป็นลมปราณที่ปรากฏขึ้นระหว่างเรียวคิ้วและดวงตาของนาง มันทั้งเย็นชาทว่าสดใสไปพร้อมกัน อีกทั้งยังสง่างามสูงส่งอย่างมิมีสตรีใดเทียบได้
ครั้นมองแวบแรกมันดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่ลอยสูงอยู่ในหมู่เมฆ ทั้งสว่างและอบอุ่น แต่พอมองอีกครั้ง มันกลับให้สัมผัสราวดวงจันทร์ที่สว่างจ้าทว่าเย็นจับใจ
ช่างงดงามเหนือผู้ใดในแผ่นดิน!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายร่างกำยำก็ตอบสนองก่อน เขาแย้มยิ้มอย่างจริงใจ
แต่มุมปากที่ยกโค้งขึ้นนั้นไม่ได้คลี่ยิ้มอย่างเต็มที่นัก และจู่ๆ เขาก็จำอันใดบางอย่างได้ พลันทำหน้าเฉยเมยในทันตา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกฉู่หลิวเยว่จับได้อยู่ดี
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย
ชายคนนั้นค่อยๆ เอื้อนเอ่ยคล้ายลังเลใจ
“ข้าน้อยมีนามว่า อิ่นเฮ่า และได้รับคำสั่งให้รอที่นี่ ข้าน้อยขออนุญาตไต่ถามว่าท่านมาจากราชวงศ์เทียนลิ่งหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าคือซั่งกวนเยว่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง”
แววตาของชายคนนั้นวาววับ ราวจะบอกว่า “นางนี่แหละ” ที่เขารออยู่ และทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ผุดขึ้นอีกครั้ง แต่มันกลับดูสุภาพและห่างเหินกว่าเดิมมาก เป็นรอยยิ้มที่ตาไม่ได้ยิ้มตาม
“ทุกท่านเดินทางมาไกล การไม่เคารพอาคันตุกะผู้มีเกียรตินั้น ถือเป็นเรื่องไม่ควรยิ่ง เหวินฝาน เจ้ามัวยืนนิ่งอยู่ไย ยังไม่รีบมารับแขกเข้าเมืองอีก!”
ชายร่างผอมข้างๆ เขาชำเลืองมองเขา ราวกับต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็กลืนทุกคำพูดกลับลงคอไปดังเดิม
หลังจากนั้น เขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและทำความเคารพพวกของหลิวเยว่ด้วยความจริงใจ
“ข้าน้อยมีนามว่าเหวินฝาน และข้าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลท่านทั้งหลายขณะพักอยู่ที่เมืองหลินโจวในครานี้ หากท่านมีข้อสงสัยใด โปรดสอบถามข้าได้ทุกเมื่อ”
ที่แท้เขาก็คือเจ้าหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะนี่เอง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเข้าใจ
ผู้ที่สามารถรับหน้าที่เช่นนี้ได้ ควรจะเป็นเจ้าหน้าที่ยศสูงของราชวงศ์เป่ยหมิง แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าอิ่นเฮ่าจะมีอำนาจมากกว่าเหวินฝานมาก
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“ตกลง เช่นนั้นหลังจากนี้ ข้าคงต้องขอรบกวนใต้เท้าเหวินแล้ว”
เหวินฝานไม่คิดว่าฉู่หลิวเยว่จะสุภาพขนาดนี้ เขารู้สึกปลื้มปริ่มอย่างมากพลันโบกมือห้ามอย่างไว
“มิบังอาจ มิบังอาจ! นี่คือสิ่งที่ข้าต้องทำ! ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาททรงจัดเตรียมที่พักของทุกท่านไว้แล้ว โปรดตามข้าผ่านเข้าประตูเมืองก่อนเถิด!”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ยังคงสงบนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
อีกฝ่ายวางแผนให้นางมาที่นี่ตั้งแต่แรก ย่อมไม่แปลกที่จะเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า
แต่นางไม่ได้พูดอันใดมาก และหันไปตะโกนเรียกผู้อาวุโสเฉินเค่อและคนอื่นๆ จากนั้นคนทั้งหมดก็เดินตาม เหวินฝานไปที่ประตูเมือง
แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็มีคลื่นความผันผวนระลอกใหม่ผุดขึ้นมาจากด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง
พวกของถานไถเฉินเองก็มาถึงแล้ว
และพออิ่นเฮ่าเห็นพวกเขา เจ้าตัวก็รีบเข้าไปถวายบังคมอย่างมีความสุข
“จักพรรดิไหวเหริน ในที่สุดท่านก็เสด็จมาถึงแล้ว! ข้าน้อยรอท่านอยู่ที่นี่ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ!”
ถานไถเฉินเหลือบมองเขาเล็กน้อย
“เจ้าคือ…”
อิ่นเฮ่าโค้งคำนับด้วยความเคารพ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ข้าน้อยมีนามว่าอิ่นเฮ่า เป็นผู้ดูแลกิจธุระทั้งหมดของท่านในขณะที่ท่านพำนักอยู่ในหลินโจวครานี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงตรัสว่าท่านมิได้มาเยือนนานแล้ว ฝ่าบาททรงคิดถึงท่านมาก และต้องการเล่นเกมหมากรุกกับท่าน!”
ถึงตรงนี้ถานไถเฉินก็เข้าใจแล้ว พลันหัวเราะร่า
“ข้าเองก็เหมือนกัน! ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็หวังว่าจะมีแต่ช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน!”
อิ่นเฮ่าผายมือขึ้น
“เรียนเชิญท่านทั้งหลายตามข้ามา…”
หลังจากพูดจบ เขาก็โค้งคำนับและเดินนำหน้าไป
“เหอะ เมื่อครู่ข้าก็เผลอคิดไปว่าเจ้านั่นเป็นคนที่มีอำนาจบาตรใหญ่ แต่ที่แท้ก็ดันเป็นขี้ข้าที่ชอบเลียแข้งขาเจ้านายนี่เอง!”
มู่ห่งอวี่กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการดูถูก
อิ่นเฮ่าที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้นั้น แสนจะเย็นชาและหยิ่งยโสมาก แม้แต่ยิ้มก็ยังไม่ยิ้มให้กันเลย
แต่พอได้พบกับพวกของถานไถเฉิน กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยเชียว
“แถมยังยิ้มกว้างจนไม่กลัวปากฉีกแล้วกระมัง!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขำ
“ไม่แปลกหรอก ปัจจุบันเทียนลิ่งของเราด้อยกว่าไท่อวี่มาก การเอาอกเอาใจฝ่ายนั้นย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า”
นางกลอกตาเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่เหวินฝาน
คนผู้นี้เองก็ดูเหมือนจะชินชากับการถูกรังแกไปเสียแล้ว