ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 936 เข้าเฝ้า
ตอนที่ 936 เข้าเฝ้า
“ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก พวกเราเองก็ไปเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่ดึงสายตากลับมา พลางยกเท้าขึ้นและเดินไปข้างหน้า
เมื่อเหวินฝานได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตอบสนองแล้วเดินนำไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“เชิญท่านมาทางนี้”
ในลานกว้าง บริเวณด้านซ้ายและขวามีกำลังพลรออยู่สองหน่วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อรอรับคนเป็นกรณีพิเศษ
และแต่ละหน่วยได้จัดเตรียมรถม้าไว้รอหลายคัน
รถม้าคันที่อยู่ด้านหน้านั้นหรูหราที่สุด ส่วนคันหลังก็ลดความสง่างามลงเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับรถม้าทั่วไป ก็ถือว่าหรูหรามากแล้ว
บนรถม้าเหล่านี้มีสัญลักษณ์บางอย่างถูกสลักไว้
เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์เป่ยหมิงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ไว้อย่างเรียบร้อย
รถม้าสองคันแรกที่จอดประชันหน้ากันอยู่นั้น ถูกลากโดยม้าสีน้ำเงินแปดตัว
ม้าสีน้ำเงินเหล่านี้เป็นสัตว์อสูรระดับเจ็ด และถือว่าเป็นสัตว์อสูรคุณภาพสูงมาก ดังนั้นพวกมันจึงมีมูลค่าสูงมากเช่นกัน
ราชวงศ์เป่ยหมิงส่งรถม้าจำนวนมากมาที่นี่พร้อมกัน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชาติบ้านเมืองของพวกเขา!
แต่ก็มีข้อแตกต่างเล็กๆ อยู่ นั่นคือในบรรดาม้าสีน้ำเงินแปดตัวทางด้านซ้าย จะมีตัวหนึ่งที่มีสีอ่อนกว่าเพื่อน ภายใต้แสงแดด ขนของมันสะท้อนแสงระยิบระยับเสมือนคลื่นทะเลและคลื่นธาราสีคราม
แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันใกล้จะทะลวงขอบเขตพลังปราณได้แล้ว และแน่นอนว่ามันย่อมสูงส่งกว่าตัวอื่น
ในขณะที่เหวินฝานกำลังจะเดินไปที่ขบวนรถม้าทางด้านซ้าย ทันใดนั้นก็มีเสียงของอิ่นเฮ่าดังไล่ตามมาจากข้างหลัง
“เหวินฝาน พวกเจ้าไปนั่งขบวนทางขวาดีกว่านะ?”
แม้จะฟังดูเหมือนประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับเต็มไปด้วยคำสั่ง!
เหวินฝานขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมามองเขาพลางเอ่ย
“หากยึดตามลำดับที่ระบุแล้ว ขบวนทางซ้ายคือหมายเลขสาม และขบวนทางขวาคือหมายเลขสี่ และพวกข้าต้องนั่งในขบวนหมายเลขสาม”
แต่อิ่นเฮ่ากลับหัวเราะเยาะ
“มันก็แค่ลำดับก่อนหลังเองมิใช่หรือ? สองขบวนก่อนหน้านี้เองก็ไปแล้ว เหลือแค่สองขบวนสุดท้ายเจ้ายังจะนับอีกเหตุใด? ยกขบวนทางซ้ายให้พวกข้าเสียดีๆ!”
เหวินฝานเริ่มมีน้ำโห เมื่อก่อนอีกฝ่ายก็ชอบบีบให้เขาแพ้แล้วเอาทุกอย่างไป แล้ววันนี้แม้แต่ขบวนรถม้าก็ยังจะแย่งมันไปจากเขาอีก!
ทว่าการที่เขาโดนแกล้งนะไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าเขายอมถอยตอนนี้ มันก็จะพลอยทำให้คนจากราชวงศ์เทียนลิ่งเหล่านี้ ถูกดูหมิ่นไปด้วยมิใช่หรือ?
เสียงของเขาเย็นชาลงทันตา
“อิ่นเฮ่า ทุกคนล้วนรู้จักกฎมาก่อนได้ก่อน มาช้าต่อหลัง อีกทั้งความจริงแล้วคนของราชวงศ์เทียนลิ่งก็มาก่อน เป็นธรรมดาที่พวกเขาจักต้องได้นั่งขบวนที่สาม”
เมื่ออิ่นเฮ่าถูกอีกฝ่ายเถียงต่อหน้าประชาชี ก็รู้สึกเสียหน้าครั้งใหญ่ พลันหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดเมื่อครู่หรือ? ฝ่าบาทกำลังรอเล่นหมากรุกกับจักรพรรดิไหวเหรินเพื่อรำลึกความหลังอยู่ หากล่าช้าเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือไร?”
เหวินฝานเยาะเย้ยในใจ
ภารกิจของพวกเขาในวันนี้คือการรับคนและพาพวกเขาไปส่งให้ปลอดภัย
ที่ต้องเข้าพบฝ่าบาทน่ะ มันวันพรุ่งนี้ต่างหาก!
แต่อีกฝ่ายกลับใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง เห็นได้ชัดว่าเขาแค่ต้องการอันใดบางอย่าง!
“ไม่…”
“ไม่เป็นไร มันก็แค่ขบวนรถม้าเท่านั้น มีอันใดให้ต้องโต้เถียงกันด้วยหรือ ในเมื่อจักรพรรดิไหวเหรินรีบร้อน เช่นนั้นข้าจักเป็นฝ่ายถอยให้เอง”
ก่อนที่เหวินฝานจะพูดจบ ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ก็แย้มยิ้มแล้วเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
เกิดความตึงเครียดขึ้นทั่วทั้งบริเวณ เนื่องจากประโยคนี้ได้สร้างความร้าวฉานเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว
ทุกคนล้วนหันมองพวกเขาเป็นตาเดียว
สงครามรถม้านี่ ใครๆ ก็ดูออกว่ามันเป็นสงครามบัลลังก์ต่างหาก?
แต่ว่านางจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?
เหวินฝานอดไม่ได้ที่จะเตือนนางเบาๆ ว่า
“ท่านต้องการเช่นนี้จริงๆ หรือ… คือว่านี่มัน…”
แต่ดูเหมือนว่าฉู่หลวิเยว่จะหาได้สนใจสิ่งรอบตัวไม่
คิ้วของนางโก่งโค้งขึ้น พลันแย้มยิ้มสดใส
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง! อย่างใดวันนี้พวกข้าก็มาถึงแล้ว และไม่มีกิจเร่งด่วนอันใด ไยข้าจักยอมถอยมิได้เล่า? ทุกคนล้วนถูกเชิญมาที่นี่ ดังนั้นก็ทำใจให้เบิกบานไม่ดีกว่าหรือ? เหตุใดต้องมีปัญหากับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กัน?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่เกรงกลัวราชวงศ์ไท่อวี่จริงๆ ดังนั้นนางจึงยอมประนีประนอมเช่นนี้
และชั่วขณะหนึ่ง ท่าทีของผู้คนเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินมาว่าราชวงศ์เทียนลิ่งเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ไป และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ขนาดยังไม่ได้เข้าสู่เมืองหลินโจวอย่างเป็นทางการยังถูกรังแกเพียงนี้ เช่นนั้น หลังจากนี้ไปจะไม่ถูกคนปีนขึ้นไปนั่งบนหัวเลยหรือไร!?
ซั่งกวนเยว่ผู้นี้ ดูแล้วไม่เห็นจะเก่งกาจเท่าไรเลย…
ถานไถเฉินยกยิ้ม พลางกุมมืออย่างสุภาพ
“ฉะนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าขอขอบพระทัยล่วงหน้า”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ และพยักหน้าราวกับว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจจริงๆ
หลังจากนั้นถานไถเฉินก็นำคนของเขาไปยังขบวนรถม้าหมายเลขสาม
ถานไถรั่วหลีหัวเราะเยาะเย้ยขณะเดินผ่านฉู่หลิวเยว่ พลันเหลือบมองนางอย่างดูถูก
“เฮ้อ ดูเหมือนว่าบางคนจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าแม้พวกเขาจะเป็นจักรพรรดิ มันก็มีความแตกต่างระหว่างผู้ที่เหนือกว่าและผู้ที่ด้อยกว่าอยู่…”
คนอย่างซั่งกวนเยว่น่ะ เทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยสักนิด!
เชียงหว่านโจวขยับข้อมือเล็กน้อย คล้ายจะโต้ตอบ!
แต่ฉู่หลิวเยว่ใช้สายตาส่งสัญญาณเตือนไม่ให้คนของตนวู่วาม
บรรยากาศที่เงียบงันและกดดันเช่นนี้ทำให้คนมองยิ่งทุกข์ระทม
เหวินฝานรีบกล่าวขออภัยเสียงแผ่ว
“ข้าขอประทานอภัยด้วย ทั้งหมดเป็นเพราะข้ามันไร้ความสามารถเกินไป…”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัวและเดินไปที่ขบวนรถม้าทางด้านขวา
“พวกเราเองก็ไปกันเถอะ”
ถานไถเฉินและคนอื่นๆ รีบเดินไปยังด้านข้างของรถม้าที่หรูหราที่สุด ทว่าในขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นไป เขากลับได้ยินเสียงใสที่ดังฟังชัดนั่นอีกครั้ง
“จักรพรรดิไหวเหริน โปรดหยุดก่อน”
ถานไถเฉินหันศีรษะไปมอง ก่อนจะเห็นฉู่หลิวเยว่ที่กำลังยืนยิ้มหวานอยู่ข้างรถม้าของตน
“ข้าไม่เคยมาเยือนหลินโจวมาก่อน และไม่เคยพบใครจากราชวงศ์เป่ยหมิง ทว่ายามนี้จักรพรรดิไหว
เหรินกำลังจะไปพบจักรพรรดิเป่ยหมิง และเล่นหมากรุกกับพระองค์ท่าน เพื่อเห็นแก่รถม้าคันนี้ โปรดช่วยพาข้าไปแนะนำกับฝ่าบาทสักสองสามประโยคด้วยเถิด หากทำเช่นนี้ยามได้พบกันอย่างเป็นทางการในอนาคต ข้าจะได้สนทนากับฝ่าบาทได้เยอะและราบรื่นด้วยดี”
ถานไถเฉินถึงกับผงะ
เพราะเขาไม่ได้บอกว่าจะเข้าวังวันนี้!
สถานะของจักรพรรดิเป่ยหมิงนั้นสูงส่งกว่าเขา จู่ๆ จะบอกว่าเขาขอเข้าพบ แล้วเข้าไปเลยได้ที่ไหนกันล่ะ!
แต่ในเมื่อซั่งกวนเยว่พูดแบบนี้แล้ว ถ้าวันนี้เขาไม่เข้าไป มันคงดูไม่ดีแน่!?
แล้วยัง…เอารถม้าของอีกฝ่ายมาแล้วด้วย!
ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะตกลงไปในหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดไว้
จะโดดหนีก็ไม่ได้ จะโดดลงไปก็ตายสถานเดียว!