ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 945 ไม่ได้เจอกันนาน
ตอนที่ 945 ไม่ได้เจอกันนาน
เสียงของหญิงสาวผู้นั้นกระจายใสราวกับไข่มุกที่ตกกระทบจานหยก
เสียงภายในท้องพระโรงก็เงียบกริบไปในทันที
เรื่องเมื่อครู่ที่พวกเขากำลังพูดถึงก็เป็นเรื่องของนางไง!
แต่คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถพูดออกมาได้
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ซั่งกวนเยว่ก็เป็นจักรพรรดิของราชวงศ์หนึ่ง แม้ว่านางจะดูด้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อย แต่เมื่อนับจากสถานะและตำแหน่งแล้ว แต่สถานะถือว่าเท่าเทียมกันอย่างแน่นอน
เมื่อนางพูดขึ้นเช่นนั้น ทุกคนภายในท้องพระโรงก็รู้สึกได้ว่าคำพูดนินทาเมื่อครู่นี้ถูกนางจับได้แล้ว
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง หนิงหยวนก็เริ่มพูดกับฉู่หลิวเยว่ก่อนว่า
“แค่พูดถึงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องใส่ใจหรอก ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยหมิงและไท่จื่อยังไม่มา ตามสบายนะขอรับจักรพรรดิหยวนซี”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ทุกท่านในที่นี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสของข้า หากไม่รังเกียจละก็ ท่านสามารถเรียกชื่อของข้าได้โดยตรง”
เมื่อหนิงหยวนเห็นว่าเธอจะดูเด็ก แต่กลับทำตัวอย่างใจกว้าง ไม่เพียงแต่มีลักษณะอันน่าเกรงขามของจักรพรรดิ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทกับผู้อาวุโส และความรู้สึกในใจนั้นก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เขาพยักหน้า และแนะนำตัวเอง
“ราชวงศ์ตงหนิง…หนิงหยวน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองอีกทาง
“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสคือ…”
มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้* เดิมทีกงซุนเซียวนั้นดูถูกราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างมาก แต่ในตอนนี้อีกฝ่ายกลับพูดจาเกรงใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายลำบากใจได้
“ราชวงศ์ซีเหยียน…กงซุนเซียว!”
“ตัวข้านั้นได้ยินชื่อเสียงของผู้อาวุโสมาอย่างช้านานแล้ว ตอนนี้ได้มาพบปะตัวจริง ข้าย่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก หากในอนาคตข้ามีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ รบกวนผู้อาวุโสช่วยชี้แนะด้วย”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาเสียงใส ราวกับว่านางไม่ได้ยินเรื่องราวที่ทุกคนกำลังนินทาอยู่ในท้องพระโรงจริงๆ
หลังจากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็พาคนไปนั่งที่ตำแหน่งด้านข้างของหนิงหยวน
สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนมองตามการกระทำทุกย่างก้าวของนาง เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีที่สบายๆ สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกแปลกไปทันที…ซั่งกวนเยว่ผู้นี้นั้นเหมือนว่าจะแตกต่างจากข่าวลือเล็กน้อย…
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแม่นางน้อยที่มีท่าทีกำเริบเสิบสาน แต่เมื่อดูจากตอนนี้ เหมือนว่านางไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย!
คำพูดและการกระทำของนางนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีส่วนผิดเลย และนางก็ดูเป็นคนสุภาพอย่างมากอีกด้วย!
กงซุนเซียวและหนิงหยวนต่างมองหน้ากัน จากข่าวลือเมื่อวาน พวกเขายังคิดว่าเป็นซั่งกวนเยว่ที่จงใจยั่วยวนไท่จื่อเป่ยหยวน และจงใจยั่วโมโหราชวงศ์ไท่อวี่ แต่เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็คิดว่า นางไม่น่าจะเป็นคนที่ทำเรื่องเช่นนั้นได้…
กงซุนเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วถามว่า
“เมื่อวานพวกเราเพิ่งได้ยินว่าเจ้าเองก็มาที่นี่ด้วย เดิมทีอยากจะไปทักทายก่อน แต่ว่าจวนของพวกเรานั้นอยู่ห่างไกลกันเกินไป กอปรกับเวลานั้นก็ดึกมากแล้ว เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเจ้า จึงไม่ได้ไป ไม่ทราบว่า…เมื่อวานเจ้านอนหลับสบายดีหรือไม่?”
นี่คือกำลังถามเรื่องราวของจวนหลังอื่นแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขากำลังหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของเป่ยหมิงและฉู่หลิวเยว่
ถ้าหากว่ามีอันใดขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาจะต้องระวังตัวขึ้นในอนาคต…
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมาอย่างไม่ปฏิเสธ
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสกงซุนอย่างมากที่เป็นห่วง หลังจากที่พวกเรามาถึงหลินโจว ตัวข้านั้นก็เหมือนกับทุกคน มีไท่จื่อจัดการทุกอย่างให้ด้วยตนเอง ดังนั้นทุกอย่างจึงดีมาก”
นางไม่ได้ตอบคำถามของกงซุนเซียว แต่กลับกล่าวยกย่องไท่จื่อหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงไม่เค็มไม่จืด**
เขาเป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ การชื่นชมเขาก็นับเป็นเรื่องที่ไม่เลว
หรือว่าจะมีใครกล้าหักล้างคำพูดของนางอย่างเปิดเผยเล่า?
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อกงซุนเซียวได้ยินดังนั้น ในแววตาก็มีประกายความผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดมาก
หนิงหยวนเองก็ไม่ได้พูดอันใด ราวกับเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
“จักรพรรดิฮวาเหริน ถานไถเฉิน ราชวงศ์ไท่อวี่เสด็จ!”
หลังจากนั้นไม่นานถานไถเฉินและคณะก็มาถึงแล้ว
เมื่อเห็นว่าผู้คนจากราชวงศ์อื่นมาถึงกันครบแล้ว ถานไถเฉินก็รู้สึกหดหู่มากยิ่งขึ้น เขากล่าวทักทายอย่างง่ายๆ จากนั้นก็ไปนั่งตำแหน่งที่นั่งของตัวเอง
แต่เมื่อนั่งลงแล้วเขาก็รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก
ถานไถเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีสายตาโดยรอบจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องเขาอยู่
ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็รู้ว่าสายตาเหล่านั้นมีความหมายอย่างใด
…เรื่องเมื่อวานนี้ พวกเขาคงจะรู้เรื่องตั้งนานแล้ว!
นี่จึงทำให้ใบหน้าของถานไถเฉินมืดครึ้มยิ่งขึ้นไปอีก ตอนนี้เขาเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอันใดมาก เขาไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้โต้เถียงด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงอดเสียใจมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
อีกทั้งหลังจากนั่งอยู่ในท้องพระโรงมาสักพัก ถานไถเฉินก็พบว่า ท่าทางที่กงซุนเซียวและหนิงหยวนปฏิบัติต่อฉู่หลิวเยว่นั้นค่อนข้างจะสุภาพอย่างมาก…
บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน ในใจของพวกเขาจึงสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของราชวงศ์เทียนลิ่งและไท่จื่อราชวงศ์เป่ยหมิงล่ะมั้ง…
ถานไถเฉินลอบกำหมัดกรอด ตอนนี้ปล่อยให้ภูมิใจไปก่อน หลังจากนี้มีโอกาสเมื่อไร เขาจะฉีกหน้ากากของนางออกต่อหน้าธารกำนัล! เอาให้หน้าหงายไปเลย!
…
“ฝ่าบาทเสด็จ…”
“ไท่จื่อเสด็จ…”
จากนั้นเสียงของห้องต้นเครื่องก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู!
ท้องพระโรงที่เคยมีเสียงดังจอแจ ก็เงียบเสียงลงทันที
จากนั้นทุกคนจึงหันไปมองที่หน้าประตูใหญ่โดยพร้อมเพรียง
และเห็นว่าร่างเงาสีทองกำลังเดินทอดผ่านมาทางนี้!
ร่างของผู้ชายคนนั้นอยู่วัยกลางคน ใบหน้าเฉยเมย ลมปราณแข็งแกร่ง
คนผู้นั้นคือจวินฉีจือ…จักรพรรดิราชวงศ์เป่ยหมิง!
ด้านหลังเขาครึ่งก้าวคือชายหนุ่มคนหนึ่ง
ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน คอและแขนเสื้อปักดิ้นลายมังกรทอง ที่เอวมีเข็มขัดหยก บนศีรษะสวมกว้านสีทอง ท่าทางดูเป็นคนรวยที่หยิ่งผยอง
ดูห่างไกลและโดดเดี่ยวราวกับยอดเขาสูง
คิ้วรูปดาบ จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากบางเฉียบ พร้อมโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มปีติยินดี
แต่สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดนั่นก็คือดวงตาที่ไม่เหมือนใครของเขา
ดวงตาดั่งเฟิ่งหวงสีแดงชาด ราวกับได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ของโลกใบนี้เอาไว้ทั้งหมด
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่แววตาของเขานั้นกลับเย็นชาราวกับธารน้ำเย็นเป็นเวลากว่าพันปี ประกายสีแดงอ่อนๆ เหมือนกับสีเลือด ทำให้คนยากจะลืมเลือน
เขากวาดสายตาไปจนทั่ว เหมือนกับว่าเขาผ่านประสบการณ์มามากมาย และทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา
ตอนที่ฉู่หลิวเยว่เห็นเขาเป็นครั้งแรกนั้น นางก็ชะงักไปเล็กน้อย มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
…นี่คือจวินจิ่วชิงสินะ!
ช่างเป็นผู้ชายที่เย่อหยิ่งเสียจริง!
ใช่แล้ว เย่อหยิ่ง
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พูดอันใด และยังไม่ได้ทำอันใด แต่ฉู่หลิวเยว่แค่มองก็สามารถสัมผัสได้แล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนหยิ่งผยองหัวสูง
ราวกับสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง จวินจิ่วชิงจึงเบนสายตากลับมามองเช่นกัน
ทั้งสองคน สี่สายตาสอดประสาน
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้าน!
ผู้ชายคนนี้…แข็งแกร่งมาก!
สัญชาตญาณเตือนภัยของนางตื่นตัวโดยทันที
ทันใดนั้นริมฝีปากของจวินจิ่วชิงก็ยกยิ้มขึ้น
รอยยิ้มนี้ของเขาเหมือนทำให้น้ำแข็งที่อยู่ในดวงตานั้นแตกสลายไป เพราะมันไร้เดียงสาและบริสุทธิ์อย่างมาก
แต่นัยต์ตาสีเลือดของเขากลับมีแสงสะท้อนของความดุร้ายและโหดเหี้ยมออกมาอย่างไม่รู้ตัว
และไม่รู้ว่าเหตุใดความหวาดระแวงกลับไม่เคยหายไปจากในหัวใจของนางเลย
“ซั่งกวนเยว่?”
ทันใดนั้นจวินจิ่วชิงก็เรียกชื่อขึ้นมา น้ำเสียงทุ้มต่ำ ราวกับเหล้าองุ่นที่ทำให้คนมอมเมา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เขายิ้มแล้วพูดขึ้นมา
*มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ แปล ถ้าทำผิดแล้วยอมรับผิดแต่โดยดี อีกฝ่ายย่อมไม่อาจใจแข็งทำอะไรรุนแรง
**ไม่เค็มไม่จืด แปล ไม่ยินดียินร้าย ธรรมดา หรือจะแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน