ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 946 หาเรื่อง
ตอนที่ 946 หาเรื่อง
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ทุกคนก็หันมาสนใจทางฉู่หลิวเยว่เป็นตาเดียว!
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจดจ้องอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่!
แม้กระทั่งจวินฉีจือที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ยังหันมามองอย่างอดใจไม่ได้ สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ความเงียบงันเข้ามาครอบคลุม!
ทันใดนั้นเองร่างกายของฉู่หลิวเยว่ก็เกร็งเครียดขึ้นมาทันที ในใจของนางก็สาปแช่งจวินจิ่วชิงเสียเละเทะ
ไม่ได้เจอกันนาน?
ไม่ได้เจอกับใครนานกัน!
ข้ารู้จักเจ้าที่ไหนกัน เจ้าถึงมาพูดจาเช่นนี้!
ถ้าเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่สามารถพูดอันใดออกไปได้อยู่ดี
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเล็กน้อย ท่าทางดูใจกว้าง แต่ยังคงเกรงใจและเว้นระยะห่าง
“ขอบคุณไท่จื่อที่เป็นห่วง ตัวข้านั้นสบายดี”
เมื่อนึกได้ว่าบ้านของเสด็จพ่อยังอยู่ในมือของเขา ฉู่หลิวเยว่จึงกัดฟันและต่อบทละครกับ
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้วขึ้น ราวกับว่าไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของนาง
“งั้นหรือ? แต่ว่าช่วงนี้ฝั่งข้านั้นไม่ค่อยดีเท่าไร”
สิ้นเสียงคำพูดนั้น บรรยากาศก็ดูอึดอัดมากขึ้น
คนจำนวนไม่น้อยมองไปมาระหว่างฉู่หลิวเยว่และจวินจิ่วชิง และลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ
นี่มัน…เหตุใดดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะดูมีบางอย่างพิเศษไป?
หรือว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าข่าวลือที่ว่าก่อนหน้านี้นั้นจะเป็นความจริง ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ มีจวินจิ่วชิงเป็นผู้สนับสนุนจริงๆ งั้นหรือ?
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย พร้อมหัวเราะเสียงเย็นในใจ
จวินจิ่วชิงป่วยหรือไม่เนี่ย?
นางไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ เขาจะสบายดีหรือไม่นั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับนางเลยด้วยซ้ำ?!
หากไม่ดีจริงๆ นั่นก็เพราะว่าอีกฝ่ายทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้เป็นจำนวนมากเท่านั้นแหละ!
“ที่แท้นี่เจ้าก็คือซั่งกวนเยว่นี่เอง”
ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด จวินฉีจือก็พูดขึ้นมา
เขามองไปทางฉู่หลิวเยว่ สายตาที่มองมาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน และยังมีประกายเจือความสงสัยอีกด้วย
“ก่อนหน้านี้จวินจิ่วชิงเคยพูดถึงเจ้ามาก่อน และครั้งนี้เขาก็ยืนกรานว่าจะเชิญราชวงศ์เทียนลิ่งมาในครั้งนี้ด้วย หวังว่าครั้งนี้หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเปิด และพวกเจ้าทุกคนจะสามารถแสดงฝีมือออกมาได้!”
จวินจิ่วชิงเคยพูดเรื่องนางกับจวินฉีจือด้วยหรือ?
เหมือนว่ามันจะแปลกประหลาดอย่างมาก!
นางกระตุกริมฝีปากเล็กน้อย รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความสุภาพ
“หวังว่าจะเป็นอย่างที่ท่านพูดนะเจ้าคะ”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เต็มไปด้วยความหมาย
ไม่มีใครไม่รู้ว่าถึงความโหดเหี้ยมของไท่จื่อราชวงศ์เป่ยหมิง
คนที่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเขาได้นั้น…มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นละมั้ง?
ถานไถเฉินลอบขมวดคิ้วขึ้น
มิน่าล่ะครั้งนี้ที่หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเปิดขึ้น เดิมทีราชวงศ์เทียนลิ่งนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเข้าร่วมด้วยซ้ำ นี่มันมีเรื่องเงื่อนงำอันใดบางอย่างอยู่แน่นอน…
ดูเหมือนว่าจะต้องดูว่าความสัมพันธ์ของฉู่หลิวเยว่กับจวินจิ่วชิงนั่นจะเป็นอย่างใดต่อ ถึงจะมั่นใจได้ว่าอนาคตเขาจะลงมืออย่างใดต่อไป…
…
จวินจิ่วชิงและจวินฉีจือเดินไปนั่งตามตำแหน่งของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศในท้องพระโรงค่อยๆ สงบลง
ในตอนนี้ยังมีสายตาบางคนที่มองทางฉู่หลิวเยว่อย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดว่าเพราะคำพูดไม่กี่คำของจวินจิ่วชิงทำให้คนอื่นๆ คาดเดาไปต่างๆ นานา
แม้แต่คนที่อยู่ด้านหลังของฉู่หลิวเยว่ต่างรู้สึกสับสนอย่างมาก เหมือนรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติไป
ผู้อาวุโสเฉินเค่อขยับเข้ามาใกล้ แล้วถามเสียงต่ำขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่าไม่รู้จักไท่จื่อเป่ยหมิงท่านนี้?”
แต่ดูจากท่าทางเมื่อครู่นี้แล้ว เหมือนว่ามันจะไม่ใช่นะ!
ฉู่หลิวเยว่หลุบดวงตาลงต่ำ
“เงียบและรอดูไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้อาวุโสเฉินเค่อตอบรับหนึ่งคำ และไม่ได้ถามอันใดต่อ
ผู้อาวุโสซูจิ่นและคนอื่นๆ มองมาที่เขา สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ผู้อาวุโสเฉินเค่อจึงส่ายหน้าอย่างไร้เสียง บอกว่าให้รอสักประเดี๋ยว อย่าเพิ่งวู่วาม
คำพูดของนางก่อนหน้านี้ เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง อีกทั้งที่หลายปีที่ผ่านมานี้ราชวงศ์เทียนลิ่งของพวกเขานั้นไม่ได้มีการติดต่อกับราชวงศ์เป่ยหมิงเลย
แต่เมื่อวันนี้เขามาพูดขึ้นด้วยตนเองเช่นนั้น มันก็ดูแปลกๆ…
แต่เอาเป็นว่าเชื่อนางก็พอแล้ว
…
“ทุกท่านมาจากแดนไกล ยินดีต้อนรับเข้าสู่เป่ยหมิง ข้าขอดื่มให้พวกท่านหนึ่งจอก”
จวินฉีจือยกเหล้าดื่มอวยพร ทุกคนก็ยกแก้วขึ้นมา
คนภายในท้องพระโรงต่างฝ่ายต่างยกเหล้าให้อีกฝ่าย ซึ่งครึกครื้นอย่างมาก
ทุกคนดูมีความรู้สึกสุขและสามัคคีอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ล้วนไม่มีอยู่แล้ว
จวินจิ่วชิงพิงพนักพิงของตัวเองอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งเท้าแก้มเอาไว้ พร้อมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับไม่ได้สนใจอันใดมากนัก
จอกเหล้าที่วางอยู่ด้านหน้าของเขายังคงเต็มเปี่ยมอยู่
แต่ก็ไม่มีใครกล้าคะยั้นคะยอให้เขาดื่ม
แม้กระทั่งจวินฉีจือยังไม่พูดอันใด แล้วคนอื่นจะกล้าสอดปากได้อย่างใด?
ไม่ว่าอย่างใดพวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องของจวินจิ่วชิงมาบ้าง และพอจะรู้ว่าคนผู้นี้เอาใจยาก ดังนั้นไม่ควรไปยั่วยุเขาจะเป็นการดีที่สุด
มู่หงอวี่ขยับเข้าใกล้เจี่ยนเฟิงฉือแล้วกระซิบเสียงเบาว่า
“ไท่จื่อเป่ยหมิงท่านนั้น เหมือนว่าจะแข็งแกร่งมากทีเดียวเชียว”
มู่หงอวี่ขยับตัวเข้ามาใกล้โดยที่เจี่ยนเฟิงฉือยังไม่ทันได้ตั้งตัว ลมหายใจที่อ่อนหวานและอบอุ่นแพร่กระจายออกมา
เขาชะงักตัวไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันมามอง จากนั้นเขาก็พบว่ามู่หงอวี่ขยับด้านข้างเข้ามาใกล้โดยที่สายตายังคงมองที่จวินจิ่วชิงอยู่ ราวกับว่ากำลังสงสัยอย่างมาก
เพราะว่านางไม่ได้มองมาทางนี้ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่าตัวของนางนั้นเกือบจะอยู่ภายใต้อ้อมแขนของเจี่ยนเฟิงฉือแล้ว
ระยะห่างของทั้งสองคนนั้นใกล้มาก
เจี่ยนเฟิงฉือสามารถมองเห็นความนุ่มนิ่มบนใบหน้าของนางได้อย่างละเอียด
ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น หูและใบหน้าก็เหมือนว่าจะร้อนผ่าว
เขารู้ดีว่าตัวเองควรจะถอยหลังออกไป แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดร่างกายของเขาถึงเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ ไม่สามารถขยับได้
โสตประสาทสั่นสะเทือน เหมือนกับว่ามีใครบางคนเอาค้อนมาทุบที่หัวใจของเขา
“ว่าอย่างใด? เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
มู่หงอวี่ไม่ได้ยินคำตอบของเขา ดังนั้นจึงหันหน้ากลับไปมอง
แก้มของทั้งสองคนเฉียดกัน ลมหายใจรดใบหน้ากันและกัน
หัวใจของเจี่ยนเฟิงฉือหยุดเต้นลงชั่วขณะ
แต่เหมือนว่ามู่หงอวี่จะไม่ได้รู้สึกอันใด จากนั้นก็ถอยหลังออกไป ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“เป็นอันใดไปหรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือจึงได้สติกลับคืนมา พร้อมเบี่ยงสายตาออก
“ไม่มีอันใด…เขาคือไท่จื่อเป่ยหมิง ถ้าเขาจะแข็งแกร่งนั้นก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ”
มู่หงอวี่ใช้มือเท้าคาง พร้อมเคาะที่ปลายคางเบาๆ
“จะว่าไปแล้วก็ใช่…แต่ว่า…มันยังรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าเขานั้นเคยรู้จักฉู่หลิวเยว่จริงๆ
ในบรรดาของคนที่นางเคยพบมา เจี่ยนเฟิงฉือเป็นคนที่เจ้าชู้มากที่สุด
แต่ทว่าจวินจิ่วชิงผู้นี้ กลับดูแย่กว่านั้น แต่ว่าทั้งสองคนไม่มีอันใดเหมือนกันเลยแม้แต่น้อย เพราะ
จวินจิ่วชิงผู้นี้นั้นเหมือนว่าจะดูชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา…
เจี่ยนเฟิงฉือเห็นว่านางยังคงครุ่นคิดเรื่องจวินจิ่วชิงอยู่ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“หากเป็นสหายจริงๆ เรื่องเมื่อวานคงไม่เกิดขึ้นหรอก” เขาสะบัดพัดกระดูกออกมา พร้อมพัดเพื่อกระจายความร้อนของใบหน้า ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ
มู่หงอวี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ที่พูดมาก็ถูก!”
…
ความรื่นรมย์ผ่านไปเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจวินจิ่วชิงก็พูดขึ้นมาว่า
“เสด็จพ่อ ในเมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็เข้าเรื่องกันเลยเถอะ”
จวินฉีจือที่ถูกขัดจังหวะ กลับไม่มีความโมโห เขาลูบเคราของตัวเองเบาๆ
“ก็จริง ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ทุกคนฟังอย่างละเอียดเถิด!”
ผู้คนในท้องพระโรงนั้นตกอยู่ในความเงียบตั้งนานแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนจึงหันไปมองที่จวินจิ่วชิง
จวินจิ่วชิงกวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นก็หยุดลงที่สาวงามชุดแดงครู่หนึ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม จากนั้นก็เหยียดหลังตรง
“ที่ข้าเชิญทุกคนมาที่นี่ในครั้งนี้ ทุกคนคงจะทราบเรื่องจุดประสงค์กันดีอยู่แล้ว หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเปิดแล้ว อาศัยเพียงแค่ตระกูลเป่ยหมิงของเราเพียงตระกูลเดียว เกรงว่ามันจะยากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้ห้าราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่เข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงพร้อมกัน!”