ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 952 สัญญาณแจ้งเตือน
ตอนที่ 952 สัญญาณแจ้งเตือน
ครืนนนน…
เสียงอึกทึกครึกโครมดังลั่น ลำแสงของทุกคนรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มเดียว จนในที่สุดก็ระเบิดออกมา!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ม่านพลังที่อยู่ตรงกลางก็ค่อยๆ เปิดออกมา!
และก่อตัวเป็นทางเข้าลักษณะห้าเหลี่ยมขึ้น!
“เข้าไป…”
ผู้อาวุโสฮวาเซียนตะโกนเสียงดังลั่น!
แน่นอนว่าเสียงตะโกนนี้เรียกราชวงศ์เป่ยหมิงที่เป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้าไป
แต่ว่าจวินจิ่วชิงกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่หันไปมองฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
ตามที่เขาได้รู้จักนิสัยของนาง โอกาสที่ดีเช่นนี้ นางจะต้องคว้ามันเอาไว้สิถึงจะถูก
แล้วเหตุใดสุดท้ายแล้วนางถึงไม่ยอมเข้าไปล่ะ?
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็อดที่จะพูดเตือนขึ้นมาไม่ได้ว่า
“ไท่จื่อ พวกเราควรไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวินจิ่วชิงถึงได้ถอนสายตาออกมาจากตัวของนาง และเดินทางเข้าไป!
ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินตามหลังเขาเข้าไป!
เงาทั้งห้าของราชวงศ์เป่ยหมิงนั้นหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนทันที!
ลำแสงบางๆ แผ่กระจายออกไปจนทั่ว จากนั้นทางเข้าห้าเหลี่ยมก็สมานกันอีกครั้ง
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดการเข้าไปในแต่ละครั้งนั้นต้องมีระยะห่างถึงสองชั่วยาม
…ม่านพลังนี้ มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ภายใต้การร่วมมือของยอดฝีมือจำนวนมาก แต่ก็สามารถควบคุมมันได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น!
หากกลุ่มที่สองต้องการจะเข้าไปก็ต้องรอให้ยอดฝีมือเหล่านี้ทำการเปิดม่านพลังขึ้นมาอีกครั้ง
และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ม่านพลังจะอ่อนกำลังมากที่สุด
“มิน่าล่ะตลอดหนึ่งพันปีถึงไม่มีใครเข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้เลย…ด้วยม่านพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ มีแต่ปรมาจารย์ในระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจะสามารถเปิดมันได้
อวี่เหวินจิงหงบ่นพึมพำด้วยความตกใจ หากไม่ใช่เพราะกาลเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน ที่ทำให้พลังของม่านพลังหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงค่อยๆ ลดทอนลงไป พวกเขานั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าไปในสถานที่แห่งนี้เลย
…
การรอคอยด้วยความตึงเครียด มักจะผ่านไปอย่างยากลำบากเสมอ
ยามราตรีได้ปกคลุมทั่วทุกหนแห่งแล้ว ความมืดครอบคลุมฟ้าดิน แต่ทว่าเมฆดำปกคลุม ทำให้มองไม่เห็นดวงดาวและพระจันทร์
นายทหารที่อยู่โดยรอบ ใช้เพียงไข่มุกของตัวเองให้ความสว่างอยู่ที่ตีนเขา
เหมือนจะเป็นเพราะว่าคนกลุ่มแรกเข้าไปแล้ว และทำให้หัวใจของทุกคนหยุดเต้นไปในทันที
“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านในจะเป็นอย่างใดบ้าง…”
จวินฉีจือเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง พร้อมกับมองไปที่แสงสว่างเปล่งประกายเจิดจ้า ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“ฝ่าบาทวางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไท่จื่อนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเขาเหลือทิ้งเอาไว้ให้ ทุกอย่างจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน”
นางสนมที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างก็กล่าวปลอบด้วยเสียงต่ำ
หากเป็นห่วงคนอื่นนั้น ยังเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้
แต่สำหรับจวินจิ่วชิงนั้นเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย
ภายในร่างกายของเขามีสายเลือดของราชวงศ์เป่ยหมิงไหลเวียนอยู่ การที่เข้าไปในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงนั้น ถ้าพูดตามหลักการแล้ว เขาไม่เพียงจะไม่ประสบอันตราย แต่อาจจะได้โอกาสบางอย่างกลับมาก็ได้
“ไท่จื่อนั้นติดคอขวดมานานแล้ว การเข้าไปครั้งนี้อาจจะฉวยโอกาสนี้เลื่อนขั้น…หากเป็นเช่นนั้นก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง!”
จวินฉีจือพยักหน้าเล็กน้อย
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…”
ในขณะที่เขาพูดไปเช่นนั้นสายตาของเขาก็หันกลับไปมองทางฉู่หลิวเยว่
เขาเองก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าฉู่หลิวเยว่จะเข้าไปด้านหน้า แต่คิดไม่ถึงว่า…
ท่ามกลางความมืดมิด แสงสะท้อนจากตะเกียงเข้าที่ใบหน้าสงบนิ่งของนาง
สีหน้าของนางไม่ได้ดูตื่นเต้นเท่ากับคนอื่น เหมือนว่าเรื่องเหล่านี้นั้นไม่ใช่เรื่องของนางโดยสิ้นเชิง
หัวใจของจวินฉีจือสั่นสะท้าน
ความอดทนและการควบคุมอารมณ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะมีได้…
ตอนนั้นเองผู้อาวุโสฮวาเซียนก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“เปิดอีกครั้ง!”
ตู้ม!
จากนั้นก็มีเสียงกระแทกดังลั่น ภายในม่านพลังรูปห้าเหลี่ยมสีสันสดใส ก็เปิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง!
“ไป!”
สายตาของเจี่ยนเฟิงฉือจับจ้องไปด้านหน้าแล้วพุ่งตัวออกไปทันที!
มู่หงอวี่และคนอื่นๆ ก็รีบตามไป
เชียงหว่านโจวหันกลับมามองฉู่หลิวเยว่ครู่หนึ่ง
ใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มยังมีร่องรอยที่ไม่อยากจะเชื่ออยู่ แต่ทว่ามันก็ยังเรียบเฉยเช่นเดิม มีเพียงสายตาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้เล็กน้อย
ริมฝีปากสีกุหลาบของเชียงหว่านโจวก็เม้มขึ้นแน่น ก่อนที่จะสะกิดปลายเท้าแล้วพุ่งตัวตามคนอื่นไป!
เงาร่างของคนจำนวนนั้นค่อยๆ หายไปด้านในของม่านพลังทีละคน!
…
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นเข้าไปหมดแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ถอนหายใจออกมา พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว ราวกับจะนั่งรออยู่ด้านนอกนี้ด้วยความสบายใจ
“น่าเสียดายจริงๆ”
เมื่อกงซุนเซียวเห็นดังนั้นก็พูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ซั่งกวนเยว่ โอกาสในการบำเพ็ญเพียรที่ดีขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะปล่อยมันไปเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะฐานะเป็นจักรพรรดิ แต่ไม่มีใครพูดนี่ว่าไม่ให้เจ้าเข้าไป ได้ยินมาว่าเจ้ามีพรสวรรค์สูงมาก ดังนั้นมันจึงน่าเสียดายอย่างมาก”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสกงซุนอย่างมากที่เป็นห่วง โอกาสนั้นได้มายาก แต่การที่ข้านั้นสามารถพาพวกเขามาที่นี่ได้ นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว ไม่กล้าหวังเรื่องอื่นหรอกเจ้าค่ะ”
กงซุนเซียวได้ยินนางพูดเช่นนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม
หรือว่านางไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?
พวกเขานั้นไม่สามารถเข้าไปได้เพราะว่าอายุมากแล้ว ไม่ตรงตามเงื่อนไข ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุเช่นนี้จะให้ไปแข่งขันกับเด็กมันก็คงจะน่าเกลียดเกินไป
แต่ว่าสำหรับซั่งกวนเยว่แล้วนั้น…ตอนนี้นางเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้นไม่ใช่หรือ?
ต่อให้จะนับตามอายุเมื่อชาติที่แล้วก็เพียงแค่ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสองปีเท่านั้น
หรือว่าแค่ไม่มีเส้นชีพจรเทียนจิงแล้ว แม้กระทั่งความมักใหญ่ใฝ่สูงก็หายไปแล้วหรือ?
ไม่ว่าคนอื่นจะคาดเดาไปอย่างใด แต่ฉู่หลิวเยว่นั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย และนั่งรออยู่ที่นั่งของตนเองอย่างนิ่งสงบ
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครถามคำถามนี้กับนางอีกแล้ว ในที่สุดนางก็สามารถนั่งอย่างเงียบๆ ได้แล้ว
เดิมทีนางคิดจะใช้เวลานี้บำเพ็ญเพียรแต่ก็คิดว่าตอนนี้ยังต้องแบ่งความสนใจให้กับสถานการณ์ที่อยู่โดยรอบของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ดังนั้นนางจึงไม่บำเพ็ญเพียรด้วยการโคจรลมปราณ แต่เลือกที่จะวาดรูปแบบค่ายกลระดับเก้าที่ลึกซึ้งนั้นในสมองอีกครั้ง
มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นตอนนี้จึงต้องรวบรวมความทรงจำ พร้อมศึกษามันไปด้วยในขณะเดียวกัน
เรื่องที่มองรู้เรื่องนั้นก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องที่จะวาดใหม่ได้นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
อีกทั้งเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนั้น จำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณและพลังงานเป็นจำนวนมาก
โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลระดับเก้ามาเล็กน้อย ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่ได้ยากอย่างที่นางคิด
เมื่อเวลาผ่านไป ค่ายกลนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏให้ชัดเจนภายในสมองของนาง
…
“กลุ่มที่สามเข้าไปได้!”
จากนั้นเสียงของผู้อาวุโสฮวาเซียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดกลุ่มของราชวงศ์ตงหนิงทั้งห้าคนก็ได้เข้าไปที่ด้านใน!
…
“กลุ่มที่สี่เข้าไปได้!”
คราวนี้ถึงตาของราชวงศ์ซีเหยียนแล้ว!
…
ในตอนนี้ ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไรขึ้นมาแล้ว
ตอนนี้มีเพียงราชวงศ์ไท่อวี่เท่านั้นที่ยังรออยู่
หลังจากผ่านค่ำคืนที่ทรมาน ใบหน้าของทุกคนก็ดูซีดเซียวอย่างมาก
ถานไถรั่วหลีขยี้ดวงตา ตาของนางนั้นแดงก่ำ
ส่วนคนอื่นๆ นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่านางมากนัก
แม้จะไม่มีใครห้ามไม่ให้พวกเขาพักผ่อน แต่ด้วยสถานที่เช่นนี้ และเวลาแบบนี้ พวกเขาจะหลับลงได้อย่างใด?
ถานไถรั่วหลีเหลือบสายตามองฉู่หลิวเยว่ที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ดูแล้วท่าทางของนางนั้นยังกระฉับกระเฉงอยู่เลย
เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นกัน แต่เหตุใดมันถึงแตกต่างกันขนาดนี้?
ในตอนนั้นถานไถรั่วหลียังไม่รู้ว่า ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่ได้นั่งวาดค่ายกลระดับเก้าอยู่ทั้งคืนเลย ดังนั้นจิตวิญญาณของนางจึงได้รับการปลอบประโลมและหล่อเลี้ยงด้วยค่ายกลระดับสูง ร่างกายของนางจึงผ่อนคลายอย่างมาก
“กลุ่มที่ห้าเข้าไปได้!”
ในที่สุดเสียงที่รอคอยก็ดังขึ้น ในตอนนั้นถานไถรั่วหลีและคนอื่นก็ตื่นตัวขึ้นทันที!
ยังไม่ทันได้พูดอันใดมาก พวกเขาทั้งหลายก็เข้ามาด้านในด้วยความตื่นเต้นที่ไม่สามารถปกปิดแล้ว!
ในตอนนั้นม่านพลังสีสันงดงามก็สมานตัวลงอีกครั้ง
และในเวลาเดียวกันนั้นเองกระดิ่งที่อยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่ก็สั่นระรัว!
นางหลุบตามองต่ำ แววตาคมกริบมากยิ่งขึ้น!
…กระดิ่งทองคำของอู๋หมิงแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
**********************************