ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 966 ไม่ให้เหลือรอดเลยสักคน
ตอนที่ 966 ไม่ให้เหลือรอดเลยสักคน
ทันทีที่พูดจบ คนจึงเห็นเพียงแค่เปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นที่กลางอากาศ และเปลวเพลิงเหล่านั้นพุ่งเข้าไปที่ตัวของถานไถรั่วหลีทันที!
ถานไถรั่วหลีตกใจอย่างมาก!
ต่อให้ฝีมือของนางไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์!
นางสะกิดปลายเท้าโดยไม่ต้องคิด นางรีบถอยร่นลงไปอย่างรวดเร็ว! ในขณะเดียวกันก็สะบัดแส้สามท่อนออกไปด้วย!
“แส้กระชากวิญญาณ”
พรึ่บ!
แส้ทั้งสามท่อนนั้นล้วนเป็นสีดำทั้งหมด แต่ละท่อนมีห่วงคล้องเอาไว้จนแน่น
ตอนที่โบกมันขึ้น ก็สามารถฟังเสียงหวีดแหลมออกมาได้อย่างชัดเจน
ดวงตาของถวนจื่อเย็นชาอย่างมาก สายตาที่ถวนจื่อมองนางนั้น เหมือนกับกำลังมองคนร้ายที่ไร้สมองอยู่
แส้สามท่อนนี้ไม่สามารถทำให้ความเร็วของถวนจื่อลดลงได้เลย
มันสยายปีกทั้งสองข้างขึ้น จนเหลือทิ้งเป็นภาพมายาที่อยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียว มันก็เคลื่อนที่ไปอยู่เหนือศีรษะของถานไถรั่วหลีแล้ว
หนึ่งคนหนึ่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ ระยะทางหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว!
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าตกใจนั้นเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง ถานไถรั่วหลีก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น ความกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจก็พวยพุ่งออกมา
นางรีบเพิ่มพลังดั้งเดิมลงไปในแส้สามท่อนทันที!
ตู้ม!
ส่วนบนของแส้สามท่อน ก็มีหนามแหลมปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ กลับมีแสงสะท้อนสีฟ้าออกมาจางๆ
เห็นได้ชัดว่ามันมีพิษ
หากสัมผัสเข้าไปแล้วแล้วก็
ดวงตาของถวนจื่อคมกริบ ทันใดนั้นก็ใช้กรงเล็บ เกี่ยวแส้สามท่อนออกไป
ตู้ม!
วินาทีถัดมา แส้สามท่อนที่ได้รับแรงโจมตีนั้นครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่าจะกระเด็นออกไปแล้วระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในขณะเดียวกัน เปลวเพลิงสีชาดก็กระจายออกมา พร้อมเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นเถ้าถ่าน
ตั้งแต่หัวจรดหาง มันไม่สามารถทำร้ายร่างกายถวนจื่อได้เลย
แส้สามท่อนถูกแย่งไปแล้ว ถานไถรั่วหลีที่รู้สึกหวาดกลัวอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ใบหน้าก็ซีดขาวยิ่งกว่าเดิม
นางเกือบจะหนีถอยไปโดยสัญชาตญาณแล้ว แต่เมื่อถอยหลังได้หนึ่งก้าว ก็รู้สึกว่ามีลูกเพลิงอยู่ที่ด้านหลังตรงนั้น
ตู้ม ตู้ม…!
ถวนจื่อกระพือปีกขึ้น เปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา และระเบิดล้อมตัวของถานไถรั่วหลีเอาไว้!
ในตอนนั้น เศษหินกระจาย เปลวเพลิงลุกพรึ่บ!
ถานไถรั่วหลีรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิของโดยรอบสูงขึ้น ราวกับโดนเผาไหม้!
ความร้อนที่น่าหวาดกลัวปกคลุมตัวของนาง จนยากจะหนีออกมาได้!
นางกวาดสายตามองไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว แต่กลับต้องสิ้นหวังเมื่อพบว่ามันไม่มีทางให้หนี!
ในตอนนี้ นางได้กลายเป็นเนื้อบนเขียงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครก็เชือดนางได้ทั้งนั้น
“รั่วหลี!”
เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว อวี๋เจ๋อเฟิงและคนอื่นๆ ก็ตื่นตระหนกขึ้นทันที และต้องการจะบุกเข้าไปช่วยนาง
แต่ในตอนที่พยายามจะเข้าใกล้ พวกเขาก็ถูกคลื่นความร้อนที่หน้าหวัดกลัวกระแทกออกมาจนปลิว
พลังของอสูรศักดิ์สิทธิ์ มันจะสามารถทำลายได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ
ท่ามกลางความตื่นตระหนก อวี๋เจ๋อเฟิงจึงรีบหันไปมองฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้นางถือกระบี่ด้วยสองมือ พร้อมมองไปยังเหตุการณ์ที่อยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางสบายๆ และผ่อนคลาย
“ซั่งกวนเยว่! นี่เจ้ากล้าฆ่าพวกเราจริงๆ หรือหลังจากออกไปแล้ว ราชวงศ์ไท่อวี่จะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!”
อวี๋เจ๋อเฟิงตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความโมโห
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตากลับมา และเหลือบมองเขาเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ขอเพียงแค่พวกเจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือ? จะว่าไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งสอนข้ามาเอง”
อวี๋เจ๋อเฟิงตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือดลงทันที
เขาไม่โง่
เขามองออก นี่ซั่งกวนเยว่กำลังคิดจะจัดการพวกเขาให้หมดสิ้นจริงๆ
นางไม่ได้กำลังล้อเล่น และไม่ได้ขู่
นางจะทำเช่นนั้นจริงๆ
และในตอนนั้นเอง ถวนจื่อก็โผตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว พร้อมใช้กรงเล็บข้างหนึ่งตวัดข่วนใบหน้าของถานไถรั่วหลีอย่างแรง
พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้อง และถานไถรั่วหลีก็ล้มลงพื้นไปทันที มใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเลือด
“รั่วหลี!”
“องค์หญิง!”
อวี๋เจ๋อเฟิงและคนอื่นๆ เห็นดังนั้น เขาก็รู้สึกหัวใจจะหยุดเต้น
ถานไถรั่วหลีไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายของตัวเอง แต่นางกลับสัมผัสใบหน้าของตัวเองแทบจะในทันที
มือของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด
นางยังสัมผัสปากแผลที่มีรอยเลือดและเนื้อหลุดออกมาอีกด้วย
โดยเฉพาะมุมปากซ้ายของนาง ที่มีปากแผล จนแทบจะเห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใน
ไม่ต้องส่องกระจก นางก็รู้แล้วว่าใบหน้าของนางน่าเกลียดขนาดไหน
มือของถานไถรั่วหลีสั่นระริก หลังจากนั้นไม่นานร่างกายของนางก็สั่นเหมือนเจ้าเข้า
นางล้มตัวลงที่พื้น ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง ปากก็กระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง
กรงเล็บนั้นของถวนจื่อ ไม่ได้ทำลายเพียงแค่ใบหน้าของนางเท่านั้น แต่ทำลายพลังภายในร่างกายเกือบครึ่งของนางอีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและสัตว์อสูรระดับเดียวกันแล้ว พวกเขามักจะด้อยกว่าเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ใช่จอมยุทธ์ระดับแปดเลย จะไปเปรียบเทียบกับถวนจื่อได้อย่างใด?
เดิมทีก็ต้องถูกทำลายอย่างย่อยยับไปอยู่แล้ว
ถวนจื่อกลับไปหาฉู่หลิวเยว่ พร้อมก้มหัวให้อย่างเชื่อฟัง ก่อนจะจ้องมองนาง ราวกับกำลังรอคอยคำชม
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น พร้อมลูบหัวถวนจื่อเบาๆ
“ทำได้ไม่เลว”
ถวนจื่อหยีตาลงอย่างมีความสุขและสบายใจ
นั่นแหละ
สำหรับการจัดการคนตัวเล็กๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอันใด
ท่าทางของฉู่หลิวเยว่หยิ่งยโสอย่างมาก
“หึ ข้าบอกให้เจ้าไปฉีกปากนาง แต่ทำไมก็ทำลายไปทั้งหน้าเลยล่ะ? แบบนี้มันไม่เหมาะสมเอานะ” ถวนจื่อแค่นหัวเราะเสียงเบา
ที่เหลือคือของแถมไง
เมื่อครู่นั่งดูถูกฉงฉงไม่ใช่หรือ? ข้าออกหน้าแทนให้แล้ว!
ฉู่หลิวเยว่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ถือว่าค่อนข้างใจกว้างทีเดียว
นางร่อนลงพื้น และมายืนอยู่ตรงหน้าของมู่หงอวี่และคนอื่นๆ
“หลิวเยว่!”
มู่หงอวี่ยากจะปกปิดความดีใจ นางมีเรื่องอยากจะพูดมากมาย แต่ก็รู้ว่าถ้าพูดไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะสม
พวกเขายังมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ
“หลิวเยว่! เจ้ารีบไปดูอู๋หมิงก่อนเถอะ เขาสลบมาหลายวันแล้ว”
อวี่เหวินจิงหงได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วยทันที
พวกเขาสองคนยังยืนหยัดต่อไปได้ แต่อู๋หมิงไม่สามารถรั้งรอได้อีกแล้ว
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า จากนั้นก็เดินไปหาอู๋หมิง
นางจับเส้นชีพจรของเขาก่อน จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อเห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่ อวี่เหวินจิงหงและมู่หงอวี่ก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
“หลิวเยว่ เป็นอย่างใดบ้าง…”
มู่หงอวี่ถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
ฉู่หลิวเยว่หยิบโอสถขึ้นมาหนึ่งเม็ด ก่อนจะป้อนให้อู๋หมิง และมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ในตอนนั้นถานไถรั่วหลีกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น อวี๋เจ๋อเฟิงและคนอื่นๆ หลบหนีเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง และวิ่งไปที่ด้านข้างของนาง
“องค์หญิง องค์หญิงเราจะทำอย่างใดกันดี…”
ในตอนนั้น เมื่อเห็นสภาพที่น่าสังเวชของถานไถรั่วหลี พวกเขาทั้งหลายก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
อวี๋เจ๋อเฟิงรีบวิ่งเข้ามากอดนางไว้ ทั้งโมโหนระคนตกใจ
“รีบไปเอายามาเร็วเข้า”
“อื้อ! จริงด้วย ยา…โอสถที่พวกเราเตรียมมามี…”
คนที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ก็รีบหากันอย่างวุ่นวาย
“ไม่ต้องเปลืองแรงเปล่าหรอก”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
นางส่งสัญญาณให้อวี่เหวินจิงหงดูแลอู๋หมิงให้ดี จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“บาดแผลที่กษายะหางวายุเป็นคนสร้าง นอกจากเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่มียาไหนรักษาได้”
อวี๋เจ๋อเฟิงและคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เจ้า…ซั่งกวนเยว่ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้”
ฉู่หลิวเยว่ทำเป็นหูทวนลม แต่เมื่อนึกถึงบาดแผลที่อยู่บนร่างกายของอู๋หมิง แววตาของนางก็มีประกายจิตสังหารเพิ่มขึ้นหลายส่วน
นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปทางถวนจื่อ แล้วพูดเสียงเรียบ
“อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”