ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 967 ยังมีท่าไม้ตายอีกหรือไม่
ตอนที่ 967 ยังมีท่าไม้ตายอีกหรือไม่
พรึ่บ…
เสียงดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน!
ร่างกายของถวนจื่อขยับขึ้นลง เปลวเพลิงสีแดงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!
“ตู้มๆ”
พวกเขาทั้งหลายคนรวมตัวกันอยู่ในที่เดียว ดังนั้นมันจึงสะดวกมากที่จะใช้วิธีนี้
หลังจากการระเบิดที่น่าตกใจหลายครั้ง เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นอย่างบ้าคลั่งล้อมรอบตัวพวกเขาสองสามคนนั้น จากนั้นยังก่อตัวเป็นลักษณะครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ด้วย พวกเขาสองสามคนนั้นถูกขังไว้ด้านในแล้ว!
นี่คือการเผาทั้งเป็น!
เมื่อตระหนักถึงอันตราย อวี๋เจ๋อเฟิงและคนอื่นๆ ก็ยิ่งตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น
“ซั่งกวนเยว่! เจ้ากล้าหรือ!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
“กล้าหรือไม่กล้า พวกเจ้าเรียนรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
เปลวไฟเผาไหม้มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว จะตะโกนโห่ร้องอันใดไปก็ไร้ประโยชน์
คนของราชวงศ์ไท่อวี่เหมือนว่าจะมีความสามารถแค่นี้เองน่ะหรือ
ความจริงแล้วในตอนแรกฉู่หลิวเยว่ไม่อยากจะฆ่าแกงกัน แต่เมื่อนางมาตรวจสอบอาการบาดเจ็บแล้ว นางก็พบว่าบาดแผลที่อยู่บนร่างกายของทั้งสามคนนั้นสาหัสอย่างมาก โดยเฉพาะอู๋หมิง
หากนางมาช้ากว่านี้แม้แต่น้อย ชีวิตของทั้งสามคนจะต้องฝังอยู่ที่นี่แล้ว
ก่อนอื่นพวกเขาได้ปิดล้อมพวกเรา ไล่ต้อนให้จนมุม และไม่ยอมให้พวกเขาโต้ตอบได้?
บนโลกนี้ไม่มีเหตุผลที่ว่านี้ด้วยซ้ำ!
อวี๋เจ๋อเฟิงพูดอันใดไม่ออก
“อ๊าก…”
ในขณะเดียวกันนั่นเอง ถานไถรั่วหลีก็คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง คล้ายกับอยู่ไม่สู้ตาย
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจกว่านั้นก็คือ บาดแผลบนใบหน้าของนางเหมือนว่าจะเป็นหนองอย่างรวดเร็ว จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
“โอสถนี้…โอสถของพวกเราไม่มีประโยชน์จริงๆ !”
ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งป้อนโอสถให้นางไป แต่คิดไม่ถึงว่าอาการบาดเจ็บของถานไถรั่วหลีจะไม่เพียงไม่ดีขึ้นแต่กลับแย่ลง
อวี๋เจ๋อเฟิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปน
เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่ได้พูดโกหก
บาดแผลของอสูรศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีโอสถรักษาจริงๆ!
ถานไถรั่วหลีขดตัวเป็นกุ้ง นางเกือบจะสลบไปเพราะความเจ็บปวด
ในตอนนี้แม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะจ้องหน้าฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่มี
การโจมตีของอสูรศักดิ์สิทธิ์…จะมีสักกี่คนที่สามารถต้านทานได้?
ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนที่ยืนอยู่ด้านข้างมีประกายไฟ ติดตามร่างกายเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นมันก็เผาไหม้ร่างของเขา!
เขารีบร้อนที่จะดับไฟเหล่านั้น แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าใช้วิธีดับไฟแบบธรรมดาไม่สำเร็จ!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหลายที่ติดอยู่ในกองเพลิง เหมือนกับติดอยู่ในนรก ไม่มีทางออกไปได้!
“เจ๋อเฟิง พวกเราจะทำอย่างใดดี?”
ในตอนนี้ถานไถรั่วหลีบาดเจ็บสาหัส ทุกอย่างล้วนต้องเชื่อฟังคำสั่งจากอวี๋เจ๋อเฟิง
แต่ว่าอวี๋เจ๋อเฟิงจะทำอันใดได้เล่า?
จะคุกคามหรือข่มขู่ก็ไร้ประโยชน์ ซั่งกวนเยว่ตั้งใจจะฆ่าพวกเราให้ตายจริงๆ
ร้องขอความเมตตา?
เกรงว่าจะได้ตายเร็วขึ้นน่ะสิ!
…
ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่ไม่ค่อยฆ่าใครโดยตรง
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้ามาเล่นหัวนางเช่นนี้ ก็ไม่มีอันใดที่จะต้องอดทน
ยิ่งไปกว่านั้น…หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเป็นมิติปิดตาย มีอันใดจะเหมาะสมไปมากกว่าการปิดประตูตีสุนัขอีกหรือ?
“แค่ก…แค่ก…”
อู๋หมิงที่สลบไสลไปนาน ก็เกิดอาการไอขึ้นมาอย่างกะทันหัน
อวี่เหวินจิงหงทั้งตกใจระคนดีใจ
“อู๋หมิง เจ้าฟื้นแล้วหรือ!?”
อู๋หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เพราะว่าแสงอาทิตย์แยงตา ทำให้เขาต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาถึงสามารถปรับตัวกับสถานการณ์โดยรอบได้ จากนั้นก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน
“จิง…จิงหง…”
อู๋หมิงยังไม่เข้าใจว่านี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปยังอวี่เหวินจิงหงด้วยใบหน้าที่งุนงง รอยเลือดเปรอะเปื้อน หัวใจเต้นกระหน่ำ
“หนี…หนีเร็ว…”
อวี่เหวินจิงหงรีบพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฝ่าบาทมาช่วยพวกเราแล้ว!”
อู๋หมิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันกลับไปมองด้วยความยากลำบาก เขาถึงได้เห็นว่าไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี้ มีเงาหญิงสาวท่าทางคุ้นตายืนอยู่
อีกทั้งในตำแหน่งที่อยู่ไกลออกไป มีเปลวเพลิงลุกท่วม เหมือนว่าด้านในนั้นจะมีคนติดอยู่สองสามคน เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังแว่วออกมา
เหมือนว่า…
“นั่นคือคนของราชวงศ์ไท่อวี่…”
อวี่เหวินจิงหงอธิบาย
อู๋หมิงรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้…มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ในตอนนั้นเอง ก็หมุนตัวกลับมาฉู่หลิวเยว่ พร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้เขา
“อวัยวะภายในของเจ้าบาดเจ็บ พลังชีพเสียหาย ต้องการการบำรุง เรื่องเหล่านี้เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
อู๋หมิงยังไม่ทันได้ถามว่า ฉู่หลิวเยว่เข้ามาในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้อย่างใด แต่เขาก็พูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“ฝ่าบาท คือ…บนตัวของ…คนเหล่านั้น…มี…ของ…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
“ของอันใด?”
อู๋หมิงส่ายหน้า ใบหน้าซีดขาวยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พวกเขา…เหมือนว่าพวกเขา…สามารถติดต่อ…แล้วก็…ภายนอก”
แม้ว่าลมหายใจของเขาจะอ่อนแอ พูดจาติดๆ ขัดๆ แต่ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถตอบสนองได้ทันที
“ที่เจ้าพูดหมายความว่า บนตัวของพวกเขามีอันใดบางอย่าง ที่สามารถติดต่อกันได้ อีกทั้งถานไถเฉินที่อยู่ด้านนอกก็สามารถทราบด้วย?”
อู๋หมิงพยักหน้าอย่างแรง
ทันใดนั้นมู่หงอวี่ก็นึกอันใดขึ้นมาได้แล้วพูดขึ้นว่า
“อย่างนี้นี่เอง! เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงสามารถรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว”
พวกเขามีกระดิ่งทองคำ เดิมทีคิดว่าจะสามารถรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็วแล้ว แต่คนของราชวงศ์ไท่อวี่กลับทำได้เร็วกว่า!
นี่มันไม่ปกติอย่างมาก!
อวี่เหวินจิงหงรู้สึกตกใจ จากนั้นก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่
“ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ ถ้าฆ่าพวกเขาไปละก็ คนที่อยู่ด้านนอกก็จะรู้ได้ทันที”
ฝ่าบาทเพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน หลังจากนั้นคนของราชวงศ์ไท่อวี่ก็ถูกสังหารทันที ไม่ว่าจะมองอย่างใดมันก็แปลก
แววตาของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย
ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไม่ว่าอย่างใดก็ต้องดูตามหลักฐาน หากไม่มีหลักฐาน ต่อให้ฐานไถเฉินจะชี้ตัวว่าเป็นนาง แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้อย่างแน่นอน
ประเด็นสำคัญเลยก็คือ…ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้อันใดเป็นตัวสื่อสาร และสามารถทิ้งเบาะแสอันใดไว้ได้บ้าง?!
ฉู่หลิวเยว่หมุนตัวกลับไป
ถวนจื่อที่มีความรู้สึกเชื่อมกับนาง ก็หยุดชะงักลงทันที มีเพียงแต่เปลวเพลิงที่ปกคลุมอยู่รอบนอก ยังไม่ได้ลดจำนวนลง
ในตอนนี้ คนที่อยู่ภายในกองเพลิงรู้สึกสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง
“อวี๋เจ๋อเฟิง องค์หญิงสลบไปแล้ว! พวกเราจะทำอย่างใดกันดี?”
“เปลวไฟนี้แข็งแกร่งอย่างมาก ข้าไม่สามารถลุยออกไปได้อยู่แล้ว…”
“หรือว่าพวกเราจะต้องอยู่ที่นี่รอความตาย…”
อวี๋เจ๋อเฟิงกัดฟันกรอด
“ต่อให้จะต้องตาย แต่ข้าก็จะไม่ยอมให้ซั่งกวนเยว่มาเอาเปรียบ! บัญชีนี้ ข้าจะต้องทบไว้บนศีรษะของนางให้ได้!”
ความคิดของเขาเปลี่ยนไปทันที เหมือนว่าเขาตัดสินใจอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
“ไม่ว่าอย่างใด ข้าก็ต้องส่งข่าวนี้ไปให้ฝ่าบาท!”
ขอเพียงแค่ทำให้คนภายนอกได้รู้ว่า เรื่องทั้งหมดนี้ซั่งกวนเยว่เป็นคนทำ ดังนั้นถ้าพวกเขาออกไปแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเดินตัวปลิวทิ้งไปเฉยๆ!
เมื่อคนอื่นได้ยินดังนั้น ก็สบสายตากันไปมา และพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรุนแรง
อวี๋เจ๋อเฟิงหลับตาลง ยื่นมือออกมา แล้วแบมือขึ้น
ในตอนนั้นเอง อักขระยันต์รูปร่างแปลกตาก็ปรากฏขึ้นตรงกลางฝ่ามือของเขา!
คนอื่นๆ ก็ทำลักษณะท่าทางเช่นเดียวกันนี้
นอกเสียจากถานไถรั่วหลีที่สลบไป และชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ถูกไฟคลอก ก็ยังเหลืออวี๋เจ๋อเฟิงและสหายอีกสองคน
กลางฝ่ามือของพวกเขาทั้งสาม มีอักขระยันต์สีดำปรากฏขึ้น!
หลังจากนั้นไม่นาน อักขระยันต์เหล่านั้นก็ลอยขึ้นไป และบรรจบกันอยู่ตรงกลาง จนกลายเป็นอักขระยันต์ตัวใหม่ขนาดเท่าฝ่ามือ!
เหมือนว่าอักขระยันต์ตัวนี้จะไม่สมบูรณ์เพราะหายไปสองส่วน
“ที่แท้พวกเจ้าก็ใช้วิธีนี้นี่เอง…”
ในตอนที่ทั้งสามคนกำลังจะเรียกอักขระยันต์ออกมา เสียงกระจ่างใสของฉู่หลิวเยว่ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน!
พวกเขาทั้งหลายตกใจทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่กลับพบว่าส่วนกลางของเปลวเพลิงแยกกันออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกล พร้อมมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม!
นางกวาดสายตาไปมองอักขระยันต์ที่ไม่สมบูรณ์ แววตาประกายความอันตรายขึ้นมา
…ของชิ้นนี้ เหตุใดถึงคุ้นตายิ่งนัก?!