ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 970 ผู้ชายของข้าช่วยเตรียมของให้ข้า
ตอนที่ 970 ผู้ชายของข้าช่วยเตรียมของให้ข้า
ทั่งทั้งบริเวณเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
แต่ดูเหมือนว่าจวินจิ่วชิงจะไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบตัวเลย ดวงตาเรียวรีโค้งลงเสมือนจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่ง พร้อมประกายแสงสีแดงระยิบระยับในแววตาคู่นั้น
“น่าเสียดาย พวกคนไท่อวี่เหล่านั้นช่างไร้ความสามารถ แม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวเดียวก็ยังสู้ไม่ได้ แถมยังรีบวิ่งหนีหางจุกตูดอีก”
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ คลายหมัดของตน ฝ่ามือของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ
มู่หงอวี่และคนอื่นๆ เองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีไป…
“ท่านจะบอกว่า คนของราชวงศ์ไท่อวี่… ถูกอสูรศักดิ์สิทธิ์โจมตีแล้ววิ่งหนีไปหรือ?”
หญิงสาวคนนั้นดูตกใจมาก ดวงตาของนางฉายแววสงสัยใคร่รู้
จวินจิ่วชิงหัวเราะเบาๆ
“นี่พวกเจ้าไม่รู้จัก กษายะหางวายุหรือ?”
ทุกคนล้วนตั้งใจมองเพื่อจับสังเกตให้ดี ก่อนจะเห็นสัตว์อสูรสีแดงเข้มตัวหนึ่ง ที่เกาะอยู่บนไหล่ของซั่งกวนเยว่
เมื่อดูจากขนาดของมันแล้ว หรือว่ามันจะเป็นกษายะหางวายุในตำนาน!?
“ใช่แล้ว เหมือนว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือ… ว่าคนผู้นั้นทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์…”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยโพล่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าราชวงศ์เป่ยหมิงจะอยู่ห่างจากราชวงศ์เทียนลิ่ง อีกทั้งยังไม่ค่อยคบค้าสมาคมกันมากนัก
แต่พวกเขาก็พอจะรู้สถานการณ์บ้านเมืองของราชวงศ์อื่นๆ รอบตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่พวกเขารู้ว่าองค์รัชทายาทได้เชิญคนจากราชวงศ์เทียนลิ่ง ให้มาเข้าร่วมการเปิดหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงด้วยตัวเองในครานี้ พวกเขาก็ยิ่งสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น และเริ่มแอบจับกลุ่มซุบซิบพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
ซึ่งในบรรดาเหตุการณ์ทั้งหมดนั่น แน่นอนว่าเรื่องที่คนพูดถึงมากที่สุดก็คือ เรื่องของจักรพรรดิองค์ใหม่ของราชวงศ์เทียนลิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาอย่าง ซั่งกวนเยว่!
หากแต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับนางก็ล้วนทำให้ผู้คนประหลาดใจกันถ้วนหน้า
และด้วยความช่วยเหลือของอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะสามารถเอาชนะพวกคนของราชวงศ์ไท่อวี่ได้…
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นได้ฟังเช่นนี้ นางจึงหันมาเพ่งมองพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ชิงไต้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นร่องรอยของกษายะหางวายุนะ…” ชายหนุ่มข้างๆ พูดเสียงเบา
ชิงไต้พยักหน้า แต่ยังคงขมวดคิ้วเนื่องจากสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
แต่ในเมื่อองค์ชายทรงตรัสเช่นนี้แล้ว นางย่อมมิสงสัยใดๆ อีก
และทำได้เพียงระงับความสงสัยไว้ในใจของตนเท่านั้น
…
“เพียงการต่อสู้เล็กน้อยเช่นนี้ ก็สร้างความสุนทรีให้องค์รัชทายาทได้แล้วหรือ”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพยิ่ง
แทบจะเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ก่อน
จวินจิ่วชิงอมยิ้มเล็กน้อย
แม้ริมฝีปากของนางจักแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม และมีท่าทีที่แสนจะสุภาพ หากแต่ไม่ต้องคิดเขาก็พอจะเดาออกว่า ตอนนี้นางคงดุด่าสาปแช่งเขาอยู่ในใจแน่นอน
แต่เพราะอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย อีกฝ่ายจึงกักเก็บความไม่พอใจเหล่านั้นไว้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จวินจิ่วชิงก็พลันอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
“ใช่ที่ไหนกัน ข้าแค่เบื่อหน่ายที่ต้องรออยู่บนหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง แต่พอเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ทำให้ข้าหายเบื่อได้เยอะเลยทีเดียว”
ณ จุดนี้ ก็เกรงว่าจะมีแค่เขาที่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงนาง พลันหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างอันตราย แต่สุดท้ายก็ยังระงับอารมณ์เดือดดาลของตนไว้
หลังจากที่นางลองทดสอบดูหลายครั้ง ก็ชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับจวินจิ่วชิงผู้นี้
อีกทั้งยังเป็นความผิดปกติที่ไม่ธรรมดาเสียด้วย
หากไม่จำเป็น ก็ไม่ควรสานสัมพันธ์กับคนประเภทนี้จะดีกว่า
นางเลิกคิ้วเล็กน้อยและเผยยิ้มบาง
“แค่องค์รัชทายาทไม่หมางเมินใจก็ดีแล้ว ส่วนข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ และจะรอช้าไม่ได้ ฉะนั้นข้าจักขอตัวลา”
หลังจากพูดจบ นางก็ประสานมือทั้งสองข้างเป็นการคำนับ และพามู่หงอวี่และคนอื่นๆ ออกไปด้วยกัน
ช่างเถรตรง ไม่อ้อมค้อมใดๆ ทั้งสิ้น
จวินจิ่วชิงสบถในลำคอเบาๆ
คิดว่าการสลัดเขาทิ้งมันจะง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ชิงไต้เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา เมื่อเห็นสีหน้าของจวินจิ่วชิง นางก็ถึงกับผงะไปเล็กน้อย
เขาจ้องเขม็งมองคนที่จากไปเหล่านั้นด้วยสีหน้าชั่วร้าย
ทว่ายามนี้สายตาที่ดุดันราวปีศาจคู่นั้น กลับเพ่งอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น
เขากำลังมองคนคนหนึ่งอย่างไม่ละสายตา
ชิงไต้เดาได้แทบจะทันทีว่าเขากำลังมองไปที่ซั่งกวนเยว่
อันที่จริงนางจับสังเกตได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า องค์รัชทายาทปฏิบัติต่อสตรีผู้นั้นต่างจากคนอื่น
ราวกับว่าเขาจะรู้จักนางมานานแล้ว และปฏิบัติต่อนางด้วยความเมตตาเป็นพิเศษ
ถ้าคนอื่นพูดกับเขาแบบนี้ เขาจะไม่โต้กลับแบบนี้แน่นอน
ไหนจะพวกที่ชอบขัดหูขัดตาอีก ซึ่งถ้ามันกวนใจเขามาก เขาก็จะทำให้มันหายไปจากชีวิตเสีย
แต่…
ซั่งกวนเยว่นั้นต่างออกไป
ทุกคนล้วนมองออกว่านางเหมือนจะเคารพองค์รัชทายาท แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย อีกทั้งนางยังดูเลี่ยงให้ห่างจากเขาด้วย
แต่เขากลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แถมยังเล่นตามน้ำในบางคราอีก
นอกจากนี้ เขาเองก็ไม่เคยมองใครด้วยสายตาแบบนั้นมาก่อน
ชิงไต้ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ได้ แต่นางสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
หรือมันอาจจะเป็น…
“ชิงไต้ เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่หรือ?”
คนที่อยู่ข้างกันเอ่ยปากถามอย่าสงสัย
นางหลุบตาลงต่ำอย่างรวดเร็ว และรีบสะกดกั้นความคิดของตนไว้แล้วยิ้มแหยๆ ให้คนถาม
“ไม่มีอันใด แค่… แค่คิดว่ามันน่าอิจฉาจริงๆ ที่สามารถทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้…”
หลายๆ คนที่ยืนอยู่ข้างนางไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ พวกเขาทั้งหมดต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่แล้ว! แม้แต่ราชวงศ์เป่ยหมิงของเรา ยังยากที่จะครอบครองอสูรศักดิ์สิทธิ์เลย! นี่มัน ก็แค่โชคช่วยมิใช่หรือไร?”
“ได้ยินมาว่าตอนแรกนางถูกใครบางคนสังหาร แต่หลังจากนั้นนางก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง! และข้าคิดว่ามันไม่ใช่ “โชคช่วย” อันใดนั่นหรอก…”
“ข้าเองก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างเหมือนกัน ดูเหมือนว่านางจะถูกคู่หมั้นกับน้องสาวบีบให้อับจนหนทาง และสุดท้ายก็เลือกที่จะจุดไฟเผาตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว… ครั้นพูดแล้วก็แอบรู้สึกสมเพชนางหน่อยๆ…”
“พูดจบหรือยัง?”
ขณะที่กลุ่มคนกำลังซุบซิบนินทากันเสียงเบา จู่ๆ น้ำเสียงอันเย็นชาของจวินจิ่วชิงก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา
ทุกคนเงยหน้ามองทันควัน ถึงจวินจิ่วชิงจะยิ้มให้พวกเขา ทว่าความเย็นชาที่ปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วและดวงตาของเขา กลับทำให้คนมองหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ!
มันคือสัญญาณของความโกรธ!
“พะ พูดจบแล้วขอรับ! ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยมิควรปากมากเช่นนี้!”
“องค์ชายโปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิด!”
ครั้นรู้ตัวว่าพลาดพลั้งไป เหล่าลูกน้องก็พากันรีบยอมรับผิดทันที
ทว่าสีหน้าของจวินจิ่วชิงยังมืดมนอยู่มาก
“ถ้าครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเหล่านี้อีก… ข้าจักตัดลิ้นพวกเจ้าเสีย!”
“ขอรับ!”
พวกเขาไม่คิดว่าจู่ๆ จวินจิ่วชิงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ ส่งผลให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่า ซั่งกวนเยว่นั้นมิใช่คนที่พวกเขาจะพาดพิงได้ง่ายๆ เสียแล้ว…
และมิอาจรู้ได้เลยว่าเหตุใดองค์ชายถึงปฏิบัติต่อนางแบบนี้?
ชิงไต้เม้มปากแน่น พลางหลุบตามองต่ำเพื่อซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาของตน
จวินจิ่วชิงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พลันหรี่ตาลง
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว…”
…
พวกของฉู่หลิวเยว่ปลีกตัวเดินห่างออกมาได้พักใหญ่แล้ว และหลังจากยืนยันได้ว่าพวกเขาหลุดพ้นจากอีกฝ่ายแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็หยุดพักผ่อนข้างลำธาร
นางเลือกไปช่วยเพื่อนร่วมทางสองสามคนจัดการกับอาการบาดเจ็บตามร่างกาย แล้วจึงแจกจ่ายยาให้พวกเขาตามลำดับ
โชคดีที่นางมียาสำรองจำนวนมากอยู่ในแหวนเฉียนคุน ดังนั้นมันจึงค่อนข้างสะดวกในสถานการณ์เช่นนี้
“หลิวเยว่ เหตุใดเจ้าถึงพกยาติดตัวเยอะเพียงนี้?”
มู่หงอวี่กลืนเม็ดยาแล้วทำตามวิธีที่ฉู่หลิวเยว่สอน เพื่อใช้ปรับและฟื้นฟูลมปราณของพลังปราณดั่งเดิม และมันทำให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นจริงๆ ก่อนจะโพล่งถามออกไปอย่างอดไม่ได้
แม้ว่านางจะเป็นเซียนหมอ แต่สิ่งนี้มันอยู่เหนือความเข้าใจของนางมากเกินไป!
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ แล้วหมุนแหวนเฉียนคุนเบาๆ พร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้านวล
“อันที่จริง ตัวข้าไม่ได้เตรียมอันใดมานักหรอก แต่เป็นหรงซิวต่างหากที่จัดเตรียมมันให้ข้า”