ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 979 การตัดสินใจของหรงซิว
ตอนที่ 979 การตัดสินใจของหรงซิว
เยี่ยนชิงมิทราบว่าเหตุใดองค์ชายของตน ถึงได้ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วเรียกร้องขออ่านบันทึกหมื่นเซียนเช่นนี้
หลายปีมานี้ องค์ชายแทบไม่ค่อยได้เปิดอ่านบันทึกเหล่านั้นเลย และน้อยครั้งที่พระองค์จะทรงเปิดอ่านจริงๆ จังๆ เช่นนี้
ซึ่งทุกครั้งที่องค์ชายเปิดอ่าน ก็จะเป็นยามที่เกิดเรื่องสำคัญขึ้นเท่านั้น
หรือว่าตอนนี้… จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือเปล่า?
เล่มที่สิบอย่างนั้นหรือ… สิ่งเดียวโผล่ขึ้นมาในหัวของเยี่ยนชิงก็คือ บันทึกนั่นเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น
ทว่าสำหรับเล่มที่เก้า เขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าองค์ชายต้องการมันไปเหตุใด
แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าถามคำถามเหล่านี้ ฉะนั้นพอตอบกลับไปแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงและถอยร่นออกไปเงียบๆ
หลังจากเยี่ยนชิงออกไปแล้ว ทั่วทั้งตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หรงซิวปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา
แสงจันทร์ที่เย็นสบายราวกับสายน้ำห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ ภายใต้แพขนตายาวปรากฏเงาทอดลงบนปรางแก้มจางๆ
ในเพลานี้ นางคงจะอยู่ที่หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงแล้ว
สิ่งที่เขากังวลนั้นมิใช่ภัยอันตรายที่อยู่ข้างใน เพราะหากว่าตามความแข็งแกร่งของนางและไพ่ตายที่นางครอบครองไว้แล้ว นางสามารถรับมือกับมันได้แน่นอน
แต่เพราะ…
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่พิเศษมากต่างหาก
เขาไม่รู้เลยว่ายามที่คนจากราชวงศ์เป่ยหมิงผู้นั้นทะลวงขอบเขตบนหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้ อีกฝ่ายได้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้บ้างหรือเปล่า…
ถ้าเกิดว่า…
ทันใดนั้น หรงซิวก็ลืมตาขึ้น
เจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำยังคงสงบนิ่งเช่นเคย และดูเหมือนจะไม่มีคลื่นความผันผวนใดๆ แผ่ออกมา
ซึ่งมันทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะเดียวกันในใจเขาเองก็ยังรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
ราวกับว่า…มีบางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของเขา
ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ดีไป แต่เขาดันมักจะรู้สึกว่า มันอาจจะเกี่ยวข้องกับนาง
“ก๊อก ก๊อก”!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับหรงซิวที่เงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อประตูเปิดออก เยี่ยนชิงก็เดินเข้ามาด้านใน
คราวนี้เขาเดินเข้ามาพร้อมถาดทองสัมฤทธิ์ในมือ
ซึ่งบนถาดนั้นมีตำราม้วนไม้ไผ่อยู่สองม้วน พวกมันส่งแสงเรืองรองออกมาจางๆ
และนี่คือเล่มที่เก้าและเล่มที่สิบของ “บันทึกหมื่นเซียน”!
“องค์ชายขอรับ”
เยี่ยนชิงยื่นบันทึกทั้งสองเล่มให้เขาด้วยความเคารพ
และเพียงนิ้วเรียวขาวของหรงซิวตวัดขึ้น ม้วนไม้ไผ่สองม้วนก็ลอยขึ้นช้าๆ ก่อนจะบินมาหยุดอยู่ที่เขา และลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
เขาหยิบม้วนไม้ไผ่มาหนึ่งม้วน
บนแผ่นไม้แต่ละอันที่ถูกจับเรียงร้อยให้เป็นม้วนไม้ไผ่นั่น มีตัวอักษรสีทองถูกเขียนไว้อย่างประณีต
แต่แผ่นสุดท้ายกลับว่างเปล่า
ไม่สิ พูดให้ถูกคือ จริงๆ แล้วมันมีตัวอักษรเขียนอยู่
แต่เพราะสาเหตุใดก็มิอาจทราบได้ ลายมือเหล่านี้จึงเจือจาง จนแทบจะอ่านไม่ออกเช่นนี้
ราวกับถูกใครบางคนขัดลบมันออกไปอย่างใดอย่างนั้น
และเหลือเพียงจุดเล็กๆ ที่กระจัดกระจาย พลางส่องแสงสีทองจางๆ
ดุจดั่งดวงดวงที่ปรากฏขึ้นในคืนเดือนมืด
หรงซิวจ้องมองไปที่จุดแสงสีทองสองสามจุดนั่นด้วยสายตาลึกล้ำ และถอนหายใจเบาๆ
“เป็นอย่างที่คาดไว้…”
นางมาได้ไกลถึงเพียงนี้แล้ว… มันเร็วกว่าที่เขาคาดไว้มาก
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว นางเองก็มิใช่คนธรรมดา แม้ว่านางจะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่ก็ยังถืออยู่ในระดับที่ดีกว่าคนทั่วไปในทุกด้าน
เพียงแต่…
หรงซิวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พลางถูขมับอย่างปวดศีรษะ
เยี่ยนชิงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“องค์ชาย ท่าน… เจ็บปวดที่ใดหรือไม่?”
หรงซิวส่ายหัว ก่อนจะเหลือบมองมันครั้งสุดท้าย และปิดบันทึกเล่มที่สิบเสีย
และเพียงขยับมือ บันทึกนั่นก็ปลิวไปกับสายลมและตกลงบนถาดทองสัมฤทธิ์นั่นอีกครั้ง
“ไม่มีอันใด แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
หรงซิวตอบกลับ ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อยกโค้งขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงนั่นเรียบนิ่งราวจำใจอย่างหมดหนทาง
เกรงว่าวันหน้าที่เราพบกันอีกครั้ง มันอาจจะมิใช่วันวานที่แสนสงบสุขอีกแล้ว…
“เตรียมผ้านวมอีกสองผืนให้ข้าด้วย”
เยี่ยนชิงแอบประหลาดใจ
“ผ้านวมหรือ? แต่ผืนที่ท่านใช้นั่น คือผืนใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนไป…”
องค์ชายทรงเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์ แม้แต่เรื่องอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนแล้วแต่ต้องคัดสรรมาอย่างดีที่สุด แต่ไฉนจึงต้องการผ้าห่มในเวลาเช่นนี้?
“ข้าไม่ได้จะใช้มันตอนนี้”
หรงซิวสะบัดมือและกระแอมไอ
“จงไปเตรียมที่ข้าสั่งเสีย”
เยี่ยนชิงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
นี่องค์ชายหมายถึง… เขาจะใช้มันในอนาคตอย่างนั้นหรือ?
แต่ไม่ว่าจะเสด็จไปแห่งใด องค์ชายของเขาจะทรงเลือกที่พักที่เหมาะแก่การบรรทมอยู่แล้ว และถ้าไม่พอพระทัย ท่านก็จะไม่ยอมบรรทมเลย
ซึ่งแต่ไรมาเขาไม่เคยจะต้องมาเตรียมผ้านวมให้ท่านเช่นนี้…
“ขอรับ ข้าน้อยจักเตรียมการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด!”
ตัวเยี่ยนชิงนั้นยังคงสับสนอยู่มาก แต่สัญชาตญาณที่ได้รับจากการฝึกฝน โดยการรับใช้เจ้านายของเขามาตลอดทั้งปีนั้น บอกเขาว่าอย่าถามออกไปเด็ดขาด
เพราะถ้าถามออกไปแล้ว ก็เกรงว่าเขาอาจจะจบไม่สวยเท่าไร
หลังจากนั้น หรงซิวก็เปิดบันทึกเล่มที่เหลือ
หลังจากกวาดตามองหาอยู่พักหนึ่ง เขาก็เห็นคำที่คุ้นเคยสองสามคำ
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย พลันมีลูกไฟสีทองลุกโชนขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา!
เยี่ยนชิงตกใจอย่างมาก
“องค์ชาย!?”
นี่องค์ชายวางแผนจะทำอันใดกันแน่?
ทุกคนย่อมรู้ว่าบันทึกหมื่นเซียนนั้นไม่สามารถทำลายได้!
ทว่ายามหรงซิวขยับปลายนิ้วเบาๆ ลูกไฟสีทองเล็กๆ ก็หล่นลงไปบนไม้ไผ่แผ่นหนึ่ง
เสมือนน้ำหยดหนึ่งที่ตกลงไปในทะเลโดยไร้ซึ่งระลอกคลื่น
แต่ทว่าการกระทำที่เรียบง่ายเช่นนี้ กลับสูบพลังปราณของหรงซิวออกไปตั้งมากมาย
ครั้นจรดปลายนิ้วลงไปนิ้วหนึ่ง ก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา ริมฝีปากบางสวยนั่นซีดเผือดลงเล็กน้อย
เยี่ยนชิงคุกเข่าข้างหนึ่ง แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอันใด และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
แต่ในเมื่อองค์ชายยืนกรานเช่นนี้ เขาย่อมรู้ว่าต่อให้เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอย่างใดก็ไร้ประโยชน์ เขาขมวดคิ้วนิดๆ และแอบถอนหายใจเบาๆ
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว หรงซิวจึงปิดม้วนบันทึกนั่น แล้ววางมันไว้บนถาดทองสัมฤทธิ์ดังเดิม
“เอามันไปคืนเถอะ”
“… ขอรับ!”
หลังจากที่เยี่ยนชิงเดินออกไปแล้ว ทั่วทั้งห้องก็เหลือเพียงหรงซิวเท่านั้น
เขานั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน
เพียงแต่ยามนี้เขากลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยสักนิด
ทว่าเมื่อสาวเท้าออกไปได้เพียงสองก้าว ทันใดนั้นก็มีร่างสีขาวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
มันคือเสวี่ยเสวี่ย
ดูเหมือนว่ามันจะสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง ดวงตาของมันฉายแววเคารพยำเกรง ก่อนจะเดินไปหาหรงซิวแล้วหมอบลงกับพื้น พลางกระดิกหางเสมือนเด็กน้อยผู้รู้ความ
หรงซิวลูบหัวของมัน
“พอคิดๆ ดูแล้ว เจ้าเพิ่งกลับมาจากทะเลทรายจันทราสีชาดได้ไม่นาน ใช่หรือไม่?”
ลำตัวของเสวี่ยเสวี่ยพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที!
สีหน้าของหรงซิวเผยให้เห็นถึงความเมตตาและความอ่อนโยนที่หาได้ยาก
“ผู้อาวุโสเหล่านั้นคงจะคิดถึงเจ้ามากเช่นกัน เช่นนั้นลองกลับไปอีกครั้งจะเป็นไร?”
…
ณ หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง
ภายนอกค่ายกล
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า และเพียงพริบตา พวกเขาทุกคนก็ย่างก้าวเข้าสู่วันที่สิบสี่แล้ว
และเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้น ก็จะถึงวันสุดท้ายของสามหยวนรวมยอดแล้ว
ซึ่งทุกคนต่างก็พร้อมแล้ว
ทว่ายิ่งเข้าใกล้เป้าหมายมากเท่าไร ทุกคนก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นเท่านั้น
บุรุษผู้แข็งแกร่งหลายคนที่รับผิดชอบในการป้องกันทางเข้าและทางออกของค่ายกลนี้ สัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เพิ่มขึ้นในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้อย่างชัดเจน และมันทำให้พลังปราณอันแกร่งกล้า ที่อยู่เหนือค่ายกลนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องตั้งสมาธิให้มากกว่าเดิม เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้นมา
ยามนี้จักรพรรดิแห่งสี่ราชวงศ์ใหญ่อยู่ข้างในแล้ว
ทว่าแต่ละคนกลับมีสีหน้าแตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด
จวินฉีจือยังคบสงบนิ่ง แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ส่วนหนิงหยวนนั้นหนักแน่นราวหินผา และแทบมิได้ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
กงซุนเซียวรู้สึกกระวนกระวายใจและวิตกกังวลเล็กน้อย พลางเหลือบมองค่ายกลนั่นเป็นครั้งคราว
และถานไถเฉิน…
เขานั่งอยู่ในที่ของตัวเองพร้อมสีหน้าอึมครึม ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ และบรรยากาศที่มืดมนก็ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา
เขาจ้องมองค่ายกลหลากสีสันนั่นด้วยความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง จนเกิดร่องรอยขึ้นที่หว่างคิ้วและดวงตาของเขา
และผ่านมาเพียงไม่กี่วัน จู่ๆ เขาก็กลายเป็นแบบนี้
อันที่จริง ทุกคนก็คงจะเดาได้ว่า สาเหตุที่เขามีอาการเช่นนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับคนจากราชวงศ์ไท่อวี่ก็เป็นได้
ใกล้จะหมดเวลาแล้ว และไม่สามารถเปิดค่ายกลนั่นได้ ดังนั้นทุกคนจึงทำได้แค่รอ!
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลง!
เมฆสีดำเคลื่อนเข้ามารวมตัวกัน พร้อมกับลมกรรโชกที่ถาโถมเข้ามาราวพายุ!
ก่อนที่กงซุนเซียวจะชี้ไปที่ยอดเขาของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงอย่างอดไม่อยู่
“ใกล้จะถึงวันที่เกิดสามหยวนรวมยอดแล้ว!”
**********************************