ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 980 แล้วนางเล่า
ตอนที่ 980 แล้วนางเล่า
แม้ว่าค่ายกลหลากสีนั้นจะปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างนอกก็ยังสามารถมองเห็นเค้าโครงของยอดเขาเหล่านี้ได้
อย่างเช่นในยามนี้ ที่พวกเขาล้วนเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นกลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้าที่กำลังรวมตัวกันตรงยอดเขาหลักที่สูงที่สุดได้อย่างชัดเจน!
ปรากฏการณ์ที่ผิดธรรมชาติเช่นนี้ จักต้องเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นแน่ๆ!
และถ้าไม่ใช่สามหยวนรวมยอดแล้วจักเป็นอันใดได้อีก?
ถานไถเฉินเงยหน้าขึ้นมองทันที!
พลางค่อยๆ กำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้ พร้อมแรงอาฆาตที่ฉายชัดขึ้นในดวงตาวาวโรจน์คู่นั้น!
ในที่สุด…
เวลานี้ก็มาถึง!
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง กระทั่งคนเหล่านั้นออกมาจากค่ายกลแล้ว คราวนี้แหละ เขาจะตามหาซั่งกวนเยว่แล้วเอาคืนอย่างสาสม!
…
ขณะเดียวกัน ผู้คนที่อยู่ในค่ายกลต่างก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน
อันที่จริงแล้วตอนนี้ คนส่วนใหญ่ได้มาถึงเชิงเขาของยอดเขาหลักที่สูงที่สุดแล้ว
เพราะหากต้องการสืบทอดพลังอันไร้ขีดจำกัดของสามหยวนรวมยอด คนผู้นั้นจักต้องปีนขึ้นไปบนยอดหลักและยืนอยู่ที่จุดสูงสุด!
ดังนั้นไม่กี่วันมานี้ หลายๆ คนจึงมารวมตัวกันที่นี่
และเมื่อเห็นสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ พลันเริ่มเดินขึ้นไปทีละคน!
…
การเคลื่อนไหวนี้ดึงดูดความสนใจของอวี่เหวินจิงหงและอู๋หมิง ที่ยังคงรอดูสถานการณ์อยู่เหนือหุบเขา
“ผ่านไปแปบเดียวก็มาถึงวันสุดท้ายแล้ว และอีกไม่นานสามหยวนรวมยอดก็จะปรากฏ…”
อวี่เหวินจิงหงมองไปยังการเคลื่อนไหวเหนือยอดเขาหลักจากระยะไกล พลางพึมพำเสียงต่ำ ก่อนจะมองลงไปที่หุบเขาเบื้องล่าง
“แต่พวกนางยังไม่ออกมาเลย พวกเราจักทำเช่นไรกันดี…”
อู๋หมิงเองก็ดูเป็นกังวลเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่กับมู่หงอวี่ลงไปด้านล่างด้วยกัน และบอกว่าจะนำตัวเจี่ยนเฟิงฉือและเชียงหว่าน
โจวกลับมาให้ได้
แต่หลังจากที่สองคนนั้นลงไปแล้ว พวกเขาก็ได้แต่นั่งขัดตะมาดรอดูความเคลื่อนไหวอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าพวกนางจะกลับออกมาแต่อย่างใด
ซึ่งมันทำให้คนรอเป็นกังวลอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะมีอินทรีสามตาอยู่ด้านล่างกับพวกนาง ป่านนี้พวกเขาคงหมดความอดทนและพุ่งตัวเข้าไปในห้วงมิตินั่นแล้ว
“ไม่รู้เลยว่าข้างในหุบเขานั้นเกิดอันใดแปลกๆ ขึ้น หลักจากที่พวกเขาลงไป เหตุใดคลื่นความผันผวนพวกนั้นถึงหยุดเคลื่อนไหวเสียดื้อๆ?”
อวี่เหวินจิงหงขมวดคิ้วมุ่น คิดอย่างใดก็คิดไม่ออก
ทว่าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พลันลุกขึ้นยืนอย่างไว
“ข้าทนรอแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว! ถ้าไปไม่ทันสามหยวนรวมยอดก็จบเห่กันพอดี และถ้าจวนจะได้เวลากลับออกไปแล้วพวกเขายังไม่ออกมาเล่า เช่นนั้นจักทำอย่างใดดี?”
พวกเขาเหลือเวลาให้หนีออกไปจากที่นี่เพียงน้อยนิด!
ซึ่งหากไม่ระวังจนเวลาที่วางไว้คลาดเคลื่อน เช่นนั้นแล้ว… พวกเขาก็จะถูกขังอยู่ในนี้ไปตลอดชีวิตเลยมิใช่หรือ?
เมื่ออู๋หมิงได้ยินเช่นนี้ ก็พลันทำหน้าตาเคร่งเครียด พร้อมคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นสมเหตุสมผลยิ่ง
ถึงแม้พวกเขาทั้งคู่จะรู้ว่าฉู่หลิวเยว่ทะลวงค่ายกลเข้ามาได้ แต่พวกเขาก็คิดมาตลอดว่าที่นางทำเช่นนั้นได้ ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่แข็งแกร่งด้านนอก
เช่นนี้แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นตระหนกได้อย่างใด?
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่ลงไป ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะไปเป็นภาระให้พวกของฝ่าบาท ทว่าตอนนี้…ข้าไม่สนแล้ว!”
อวี่เหวินจิงหงเอ่ยพลางตบไหล่ของอู๋หมิง
“อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ฉะนั้นจงรอที่นี่ ข้าจะลงไปดูเอง!”
เขาพูดโดยไม่รอให้อู๋หมิงได้ปฏิเสธ ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดลงไป!
“เดี๋ยว…”
อู๋หมิงตกใจจนพูดไม่ออกและกำลังจะหยุดเขา แต่ก็คว้าตัวเขาไว้ไม่ทัน
แต่ทันใดนั้น ก็มีเปลวไฟสีแดงพุ่งออกมาจากด้านข้าง และปิดกั้นอวี่เหวินจิงหงไว้อย่างรวดเร็ว!
อวี่เหวินจิงหงหันขวับไปมองถวนจื่อด้วยความประหลาดใจ
“นี่เจ้า…”
แต่ก่อนที่เขาจะถามจบ ถวนจื่อก็โบกสะบัดปีกของมัน!
จนอวี่เหวินจิงหงถูกพลังอันแกร่งกล้านั่นกระแทกเข้าอย่างจัง และลอยกลับไปอยู่ที่เดิมอีกครั้ง!
เขามองถวนจื่อด้วยความฉงน
อู๋หมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ดูเหมือนมันจะไม่อยากให้เราลงไปนะ”
ถวนจื่อชำเลืองมองพวกเขาสองคนเล็กน้อย
จะลงไปเหตุใดกัน?
แค่นี้ก็วุ่นวายเกินพอแล้ว!
เป็นเด็กดีนั่งรออยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ!
ราวกับว่าเข้าใจสิ่งที่ถวนจื่อต้องการจะสื่อ หลักจากสบตามันพวกเขาทั้งสองคนก็มองหน้ากัน และระงับความไม่สบายเหล่านั้นไว้ แล้วรอต่อไป
อย่างใดเสีย กษายะหางวายุตัวนี้ก็เป็นอสูรในพันธสัญญาของฝ่าบาท หากเกิดอันใดขึ้น มันย่อมสัมผัสได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?
“ข้าหวังว่าฝ่าบาทและคนอื่นๆ จะปลอดภัย…”
อู๋หมิงมองไปยังจุดสูงสุดของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง พลางเอ่ยเสียงเบา
…
การรอคอยนั้นเป็นเรื่องยาก
เมื่อเห็นว่าแสงบนท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่พวกของฉู่หลิวเยว่ยังไร้การเคลื่อนไหว
ทั้งอู๋หมิงและอวี่เหวินจิงหงก็เริ่มกระสับกระส่ายอีกครั้ง
แต่เมื่อเห็นว่าถวนจื่อยังคงสงบนิ่งดุจเซียนเทพผู้เคร่งขรึม พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอต่อไป
อวี่เหวินจิงหงยังคอยสลับมองยอดเขาหลักเป็นครั้งคราว
ถึงจะอยู่ไกลหน่อย แต่ก็ยังมองเห็นยอดเขาได้ลางๆ
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครขึ้นไปถึง
แต่เขารู้ว่าคนเหล่านั้นคงปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้ว
ทว่าเนื่องจากพื้นที่ตรงนั้นเป็นป่ารกทึบ เขาจึงมองไม่เห็นและมิอาจทราบสถานการณ์ของการแข่งขันในยามนี้ได้
ความมืดมิดกลืนกินท้องฟ้าสีคราม และแม้แต่เงาคนในหุบเขา ก็ดูเหมือนจะค่อยๆ เลือนหายไปจากครรลองสายตา
…
ในไม่ช้าก็ถึงเพลาของราตรีกาล
ดวงจันทร์กลมโตสว่างไสวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงเรืองรองของมันโปรยปรายไปทั่วทิวเขา ที่วางตัวราวระลอกคลื่นน้ำ ภายในผืนป่าอันมืดมิดปรากฏเงาสีน้ำเงินเข้มขึ้นเป็นย่อมๆ
มันเงียบมาก
และมีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านเป็นครั้งคราว สายลมนั่นพัดผ่านแนวป่าเขาและหุบเขา จนเกิดเสียงของต้นไม้ใบหญ้า
ทันใดนั้น ก็มีปรากฏการณ์มากมายเกิดขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง!
ทั้งลมกระโชกและหมู่เมฆหนาทึบ! และแรงบีบอัดของพลัง!
พวกของอวี่เหวินจิงหงหันขวับไปมองทันที ก่อนจะเห็นร่างสูงและแข็งแรงของใครบางคน กระโดดขึ้นไปบนยอดเขาหลักของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง!
ภายใต้แสงจันทร์ อีกฝ่ายโบกสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ชุดคลุมตัวยาวพลิ้วไหวไปตามแรงลม พร้อมท่วงท่าที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้!
“นั่นมัน… จวินจิ่วชิง!”
อู๋หมิงพลันหรี่ตาแล้วจ้องมองสักพัก และกล่าวอย่างมั่นใจ
หลังจากอวี่เหวินจิงหงตกอกตกใจไปชั่วขณะ เขาก็รีบตั้งสติและรับรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
เขายักไหล่เบาๆ
“ถ้าไม่ใช่เขาสิแปลก!”
แต่เดิมหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงแห่งนี้ก็เป็นอาณาเขตของราชวงศ์เป่ยหมิง และเขายังเป็นองค์รัชทายาทแห่งเป่ยหมิงอีก ด้วยสายเลือดของราชวงศ์ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขาแล้ว…
ก็สมควรที่เขาจะขึ้นไปได้คนแรกมิใช่หรือ?
อู๋หมิงพยักหน้าและพูดต่อว่า
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่การที่เขาสามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้ ก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี เพราะถึงจะไม่ใช่คนแรก และไม่ได้รับพลังอันไร้เทียมทานจากสามหยวนรวมยอดโดยตรง แต่ก็ยังได้มีโอกาสได้สัมผัสรัศมีของพลังศักดิ์สิทธิ์นั่น ที่แผ่กระจายออกมาด้านข้าง นี่มัน… เป็นโอกาสทองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…”
อวี่เหวินจิงหงถอนหายใจ
“ตอนนี้ข้าไม่สนใจอันใดพวกนั้นสักนิด ข้าขอแค่ให้ฝ่าบาทและคนอื่นๆ ปลอดภัย และกลับมาได้อย่างราบรื่น…”
ตูม!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากภายในหุบเขา!
ทั้งสองคนผงะและมองลงไปด้านล่างอย่างกระวนกระวายใจ
พลันเห็นร่างสองร่างกระโจนขึ้นมา!
“ตูม ตูม ตูม”!
เสียงระเบิดดังระรัวไม่หยุด!
และเนื่องจากการกระแทก ทำให้ห้วงมิติที่เหมือนจะสงบไร้คลื่นความผันผวนนั่น ระเบิดออกทีระลอก!
คลื่นพลังปราณที่เดิมทีวุ่นวายอยู่แล้ว เริ่มปั่นป่วนอย่างรุนแรง!
“มู่หงอวี่กับเจี่ยนเฟิงฉือ!”
สายตาที่เฉียบคมของอวี่เหวินจิงหงจดจำคนทั้งสองได้ พลันรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจ!
เมื่อเห็นคนทั้งสองเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ถวนจื่อก็กระพือปีก! และพุ่งตรงไปที่สองคนนั้น!
ลำแสงสีแดงแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว!
จากนั้นมู่หงอวี่กับเจี่ยนเฟิงฉือก็กระโดดลงมาอยู่บนหลังของถวนจื่อแล้ว!
คลื่นความผันผวนอันวุ่นวายและน่าสะพรึงกลัวโจมตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง และพยายามลากถวนจื่อลงไปด้วย!
ขณะเดียวกัน มันก็ตวัดกรงเล็บใส่คลื่นพลังนั่นอย่างรุนแรง และพุ่งทะยานขึ้นด้านบน!
ก่อนจะค่อยๆ ลงจอดบริเวณชะง่อนผา
พวกของอวี่เหวินจิงหงรีบก้าวไปข้างหน้าทันที ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้แสดงความปิติยินดีออกไป ก็พลันต้องหน้าเสีย!
เพราะยามนี้ร่างกายของมู่หงอวี่และเจี่ยนเฟิงฉือนั้นเต็มไปด้วยเลือด!
“เกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้ากัน!?”
มู่หงอวี่อ้าปากจะพูด แต่ก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก
หัวใจของเจี่ยนเฟิงฉือกระตุกวูบอย่างรุนแรง พลันกระชับกอดนางแน่นโดยไม่รู้ตัว และป้อนยาให้นางทันที
เขาไม่สนใจอาการบาดเจ็บตัวเองเลยสักนิด และหันไปมองสองคนนั้น
“ห้วงมิติด้านล่างทั้งหมดกำลังปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง! แล้วซั่งกวนเยว่เล่า!?”