ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 986 ทั้งหมดนี่เป็นของเจ้า
ตอนที่ 986 ทั้งหมดนี่เป็นของเจ้า
ขณะเดียวกัน จวินจิ่วชิงเองก็เห็นภาพนี้เช่นกัน
รูม่านตาสีชาดพลันปรากฏสัญญาณของการหมดความอดทนและแรงอาฆาตแค้น
“ตามหลอกหลอนกันไม่เลิกจริงๆ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก…”
ริมฝีปากบางของเขายกโค้งขึ้นเล็กน้อย พลางแย้มยิ้ม ทว่าดวงตาและเรียวขนงคู่นั้นกลับเย็นชาเสียยิ่งกว่าอันใด
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นทุ้มต่ำและแหบพร่า และแฝงไปด้วยความมืดมนหม่นหมองยามได้ฟัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิงไต้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ทว่าน่าเสียดายที่ยามนี้มีคลื่นพลังแสงเจิดจ้า ห้อมล้อมและไหลเวียนไปทั่วกลุ่มแสงสีทองนั่น ทำให้นางมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
นางเหลือบมองจวินจิ่วชิงด้วยหางตาอย่างไว และแอบสงสัยในตัวอีกฝ่ายเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว ทั้งๆ ที่ปกติแล้วไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ส่วนใหญ่เขาก็มักจะแสดงท่าทีเย็นชาและเฉยเมยออกมาเสียมากกว่า
ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะมีบางสิ่งดึงดูดสายตาของเขาได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยั่วยุให้เขาโมโหเลย
แต่เมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นบางอย่างในเจ้ากลุ่มก้อนแสงกลมๆ นั่น พลันลมปราณรอบตัวเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและมืดมนขึ้นมาทันที…
ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้องค์ชายได้สืบทอดพลังส่วนใหญ่ของสามหยวนรวมยอดแล้ว และเหลือเพียงก้าวสุดท้ายอีกก้าวเดียวก็จะสามารถสืบทอดพลังอันไร้ขีดจำกัดนั่นได้สำเร็จ แล้วไฉนกลับมีบางอย่างกวนใจเขาอีก?
แต่ก่อนที่นางจะได้คิดไตร่ตรองอย่างละเอียด ก็พลันมีลมปราณที่อันตรายพุ่งพรวดขึ้นมาจากทั่วสารทิศ!
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด คลื่นพลังปราณสีเงินพลุ่งพล่านราวกับแม่น้ำเชี่ยวกราก และสาดซัดออกไป!
ภาพของกลุ่มคนที่อยู่บนยอดเขาดูเล็กลงทันตาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังนี้!
เมื่อพลังปราณสีเงินตกลงมาจากท้องฟ้า เพียงพริบตา มันก็กลายเป็นคลื่นยักษ์ที่กวาดล้างหาดทรายจนพังพินาศ!
“องค์รัช…”
เพียงชิงไต้อ้าปาก ร่างกายของนางก็พลันถูกพัดออกไปอย่างมิอาจต้านทานได้!
นางคิดจะดึงพลังปราณดั้งเดิมในกายออกมาใช้ต้านทานพลังที่สาดเข้ามา แต่กลับทำไม่ได้!
ในตอนนี้ พลังปราณอันน้อยนิดของนางนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์เลย!
พลังที่น่าสะพรึงกลัวถาโถมเข้ามา พร้อมเกี่ยวพันบีบเค้นอวัยวะภายในทั้งห้าของนางจนแทบระเบิด!
จากนั้นดวงตาของนางก็ค่อยๆ มืดลง และร่างทั้งร่างๆ ก็ถูกพลังนั่นดีดออกไปทันที!
ตูม!
ชิงไต้ลอยไปกระแทกกับยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ!
นางกระอักเลือดออกมาเต็มปาก กายบางไถลรูดลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะตกลงบนจะงอยหินที่ยื่นออกมา พร้อมเสียงกระดูกแตกหักหลายส่วน
นางพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แต่ก็เปล่าประโยชน์ และทำได้เพียงอาศัยแขนขวาที่ยังใช้การได้ ดันตัวเองขึ้นมากระทั่งยืนตัวตรงได้อีกครา
นางเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาทันที โดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บ!
ในเพลานี้ บนท้องฟ้าเหนือหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงนั้น ถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆดำทมิฬที่แผ่ขยายออกไปราวกับเกลียวคลื่น
ทัศนวิสัยระหว่างท้องฟ้าและพสุธานั้นมีเพียงความมืดมิด
กลุ่มแสงสีทองลอยอยู่กลางอากาศ มันส่องแสงเจิดจ้าเสียจนคนมองแทบลืมตาไม่ขึ้น ทั่วทั้งร่างของมันปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังออกมา! จนผู้คนที่อยู่ด้านล่างตกใจไปตามๆ กัน!
และภายใต้กลุ่มแสงสีทองนั้น ก็มีคลื่นทะเลสีเงินวางตัวเป็นวงแหวน ที่ล้อมรอบยอดเขาหลักเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ส่วนพลังปราณดั้งเดิมหลากสีที่ปรากฏออกมาในตอนแรก ก็ได้ถูกแสงสีเงินนั้นกลืนกินเข้าไปจนสีสันของมันแทบจะริบหรี่
ครั้นมองจากระยะไกลแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าจุดแสงหลากสีที่เหลืออยู่นั้น ได้ผสมผสานเข้ากับแสงสีเงินและปรากฏออกมาเพียงบริเวณขอบของคลื่นวงแหวนสีเงินขนาดมหึมาเท่านั้น แทบมิใช่จุดเด่นแต่อย่างใด
ซึ่งขณะเดียวกัน พลังที่ปะทุขึ้นมาในครั้งนี้ ก็มากกว่าครั้งก่อนหลายเท่า!
ชิงไต้มองดูมันอย่างกระวนกระวายใจ พลันรีบกวาดสายตามองหาบางอย่างที่อยู่ในนั้น
ไม่นาน นางก็เห็นร่างสูงกระโดดขึ้นมาจากเกลียวคลื่นสีเงินนั่น!
ร้ายกาจ โดดเด่น ราวกับปีศาจ!
แต่กลับทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้!
ในที่สุดหัวใจที่ร้อนรนของชิงไต้ก็สงบลง
“ดีจริงๆ… แคกๆ…”
นางหลับตาลงด้วยความพอใจ
แม้ว่านางจะกระอักเลือดที่ไหลออกมาจากริมฝีปากและไรฟันไม่หยุด ทว่าตราบใดที่นางเห็นว่าเขายังยืดหยัดต่อไปได้ นางก็ไม่สนใจอันใดแล้ว!
เมื่อทัณฑ์สวรรค์สายที่แปดฟาดผ่าลงมา สามหยวนรวมยอดก็ระเบิดพลังออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
และผู้ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่บนยอดเขาได้นั้น ก็น่าจะมีแค่… องค์รัชทายาทเพียงผู้เดียวสินะ?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของชิงไต้ก็เต็มไปด้วยความนับถือและชื่นชม
และเหมือนสวรรค์กำลังยืนยันการคาดคะเนของนาง เพราะไม่นานร่างหลายร่างก็ถูกพลังปราณอันบ้าคลั่งนั่นดีดกระเด็นออกไป!
นางเฝ้ามองสถานการณ์ตาไม่กะพริบ ก่อนจะพบว่าสองคนที่ลอยออกไปนั้นคือ คนของราชวงศ์ตงหนิงและราชวงศ์ซีเหยียน
หลังจากนั้น ก็มีร่างสีแดงถูกโยนออกมาจากคลื่นทะเลสีเงิน!
กษายะหางวายุ!
ท่ามกลางความโกลาหล มันรีบกระพือปีกและทรงตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อมองดีๆ ก็จะเห็นคนหลายคนที่อยู่ในอุ้งเท้าของมัน
ชัดเจนว่าพวกเขาคือคนของราชวงศ์เทียนลิ่ง
ก่อนหน้านี้ชิงไต้รู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นพวกเขาปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา แต่พอเห็นภาพนี้แล้ว นางก็พลันอารมณ์ดีขึ้นทันตา แม้แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายของนาง ก็ยังทำอันใดนางไม่ได้
หวีด!
ทว่าในขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้น!
พร้อมร่างเพรียวบางของใครบางคนที่พุ่งพรวดขึ้นมาจากด้านล่าง!
กระบี่คมปรากฏขึ้นพร้อมลมปราณอันน่าเกรงขาม! และฝ่าทะลวงคลื่นสีเงินเหล่านั้นเข้ามา!
ชิงไต้พลันเบิกตากว้าง!
…ซั่งกวนเยว่!
…
การใช้พลังปราณดั้งเดิมบุกทะลวงเข้าไปนั้น ส่งผลให้ไหล่ทั้งสองข้างของฉู่หลิวเยว่หนักอึ้ง เสมือนว่ามีภูเขาอยู่บนไหล่ของนางก็มิปาน!
แต่เมื่อนางฝ่าฟันทุกสิ่งได้แล้วกระโจนขึ้นไปเหนือคลื่นพลัง ความรู้สึกหนักอึ้งนั้นก็หายไปทันที!
คลื่นแสงสีทองเหนือศีรษะส่องแสงพร่างพราว พร้อมเกลียวคลื่นสีเงินที่ส่องประกายอยู่ใต้ฝ่าเท้า!
พลังปราณที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่อย่างหาที่เปรียบมิได้ปรากฏขึ้นทั่วทุกสารทิศ!
สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าดีมากๆ เว้นเสียแต่… จวินจิ่วชิงที่ลอยอยู่ไม่ไกลนั่น!
และเมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว จวินจิ่วชิงก็หันมามองทันที
ใบหน้าหล่อเหลาพราวเสน่ห์ของเขามิได้ฉายแววประหลาดใจแต่อย่างใด แต่เขากลับทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดช้าๆ ว่า
“มาช้ากว่าที่ข้าคิดไว้มาก”
เดิมทีเขาคิดว่านางจะมาช้ากว่าเขาเพียงนิดเดียว แต่คาดไม่ถึงว่านางเกือบจะมาไม่ทันเสียนี่
แต่… การที่นางสามารถบุกขึ้นมาจากเชิงเขา ในขณะที่สามหยวนรวมยอดกำลังอาละวาดได้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ขึ้นมาได้ก็พอแล้ว จะช้าหรือจะเร็ว สำคัญตรงไหนกัน?”
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ พร้อมเผยยิ้มบางเบา
“ถึงความแข็งแกร่งจะไม่เท่าเมื่อก่อน ทว่านิสัยยังเหมือนเดิมไม่มีผิด”
แต่ไหนแต่ไรนางเป็นคนแบบนี้แหละ สุดแสนจะเย่อหยิ่งไม่ไว้หน้าใคร
บนโลกนี้มีคนที่หยิ่งยโสอยู่นับไม่ถ้วน รวมถึงตัวจวินจิ่วชิงเองก็ด้วย
ซึ่งเขาไม่ชอบคนประเภทนี้มากๆ แต่กับนาง เขามักจะรู้สึกว่ามันแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อย
ฉะนั้นยิ่งได้พบนางบ่อยเข้า เขาก็ยิ่งรู้สึกสนอกสนใจขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นหูทวนลม
จวินจิ่วชิงรู้จักตัวตนของนางในอดีต และรู้จักดีกว่าที่นางรู้จักตัวเองเสียอีก
แต่มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเขาพูดอันใดที่เป็นประโยชน์ออกมาบ้าง ทว่าน่าเสียดายที่เขามักพูดแต่ประโยคไร้สาระเช่นนี้
น่าเบื่อจริงเชียว
นางเงยหน้าขึ้นมองลูกพลังปราณสีทองกลมๆ นั่น อย่างพินิจพิเคราะห์
“ดูเหมือนว่ามีแค่คนเดียว ที่สามารถสืบทอดพลังปราณดั้งเดิมอันไร้ขีดจำกัดจากสามหยวนรวมยอด และพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างในได้ใช่หรือไม่?”
จวินจิ่วชิงเอ่ยอย่างรู้ทัน
“เจ้าคิดจะแย่งมันไปจากข้าสินะ?”
ฉู่หลิวเยว่กระตุกยิ้มมุมปาก
“แม้ว่าเดิมทีสิ่งนี้จะเป็นพลังขององค์ไท่จู่แห่งราชวงศ์เป่ยหมิง แต่ว่า… ในเมื่อตอนนี้ข้ากับเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว หากไม่ลองแย่งกันดูสักครา ก็คงจะน่าเสียดาย?”
“เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
จวินจิ่วชิงตอบกลับด้วยท่าทีสงบนิ่งและผ่อนคลาย
“ถึงเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเจ้า ทว่าน้ำที่อยู่ห่างไกลก็ไม่อาจสยบไฟที่อยู่ใกล้ได้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็จักไม่เปลี่ยนแปลง”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงทันควัน
เขาหรือ?
“แต่ถ้าเจ้าอยากได้เจ้าสิ่งนี้ ก็ใช่ว่าจะเอาไปไม่ได้เสียทีเดียว”
จวินจิ่วชิงจ้องมองนางด้วยดวงตาลึกล้ำ พลางเม้มริมฝีปากเบาๆ
ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า ราวกับสายลมอุ่นๆ ยามพลบค่ำที่พัดผ่านใบหู
“เพียงแค่เจ้ายอมแต่งงานกับข้า ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเจ้า!”