ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 989 อับจนหนทาง
ตอนที่ 989 อับจนหนทาง
ความจริงแล้วเมื่อคราแรกที่พวกเขาเห็นฉู่หลิวเยว่อดทนได้นาน ก็พลันรู้สึกโล่งใจระคนยินดี
ทว่าตอนนี้… มันนานเกินไปแล้ว!
และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาเป็นกังวลอีกครั้ง
เจี่ยนเฟิงฉือชำเลืองมองถวนจื่อที่อยู่ข้างๆ เล็กน้อย ก่อนจะมีประกายแวววับแล่นผ่านดวงตาอันเย็นชาคู่นั้น
เขาเอนตัวพิงแนวหินลาดชันที่อยู่ด้านข้าง แล้วหัวเราะเบาๆ
“วางใจเถอะ นางไม่ปล่อยให้ตัวเองตายง่ายๆ เช่นนั้นหรอก”
คนที่ถูกซั่งกวนหว่านกับเจี่ยงอวี่เฉิงล้อมให้จนมุม จนตัดสินใจจุดไฟเผาตัวเอง แต่สุดท้ายก็รอดมาได้แล้วกลับชาติมาเกิดใหม่เช่นนี้…
คิดหรือว่าจะจัดการกับนางได้ง่ายๆ?
“ในยามนี้พวกเราควรแยกย่อยพลังปราณดั้งเดิมทั้งหมดที่กลืนกินเข้าไปก่อนหน้านี้เสีย! เช่นนี้แล้วเราจะได้ไม่ถูกนางทิ้งห่างมากนัก มิเช่นนั้น… ”
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงเขาจะพูดไม่จบ แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าเข้าต้องการจะสื่ออันใด
อวี่เหวินจิงหงเหลือบมองเขาอย่างสงสัย
“จะ… เจ้าแน่ใจแล้วหรือ? เจ้าสิ่งนี้เป็นถึงพลังปราณศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ…”
“มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องบ้าระห่ำให้สุด”
เจี่ยนเฟิงฉือตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ พลางมองไปยังร่างเพรียวบางที่ยืนนิ่งอยู่บนยอดเขาหลักในระยะไกล ด้วยแววตาลึกล้ำแล้วหลับตาลงทันที จากนั้นพลังปราณดั้งเดิมก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของเขา!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าคนที่เหลือก็ต่างมองหน้ากัน แล้วระงับความต้องการระงับคลื่นอารมณ์ในใจไว้ชั่วคราว และเริ่มบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกับเจี่ยนเฟิงฉือ
อย่างใดเสีย เราเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองนั้น ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้
…
แม้กลุ่มคนจำนวนหนึ่งจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้ในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงจะทำได้
เดิมทีพวกเขาคิดว่าซั่งกวนเยว่คงจะทนได้ไม่นาน และประเดี๋ยวก็จะถูกดีดตกลงมา แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง นางกลับยืนหยัดได้นานกว่าที่พวกเขาคิดหลายเท่า!
เมื่อมองจากระยะไกล เหนือท้องนภากว้างนั้นมีลำแสงสีทองนับไม่ถ้วน กำลังห้อมล้อมจวินจิ่วชิงและซั่งกวนเยว่ไว้ตามลำดับ และก่อตัวขึ้นเป็นศูนย์กลางของพลังปราณสองจุด!
แม้ว่าขนาดและการเคลื่อนไหวของซั่งกวนเยว่จะเทียบจวินจิ่วชิงในยามนี้ไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังของซั่งกวนเยว่นั้นเพิ่มขึ้นมากและยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง!
ไม่เพียงแต่อาณาเขตแสงของนางจะไม่ลดน้อยลงแล้ว แต่นางยังสัมผัสได้จางๆ ว่ามันกำลังจะตามทันอีกฝ่ายด้วย!
“เหตุใดจึง… เป็นเช่นนี้กัน?”
ผู้คนมากมายต่างมองดูภาพนั้น พร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในใจ
…
ขณะนี้ฉู่หลิวเยว่มิได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของคนด้านนอกเลยสักนิด
นั่นเพราะในเวลานี้สติสัมปชัญญะทั้งหมดของนาง ได้เพ่งเล็งอยู่กับการควบคุมพลังปราณดั้งเดิมในร่างกาย
ร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นเปรียบเสมือนภาชนะที่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและปัจจัยอื่นๆ ซึ่งการที่คนคนหนึ่งจะสามารถถือครองพลังปราณดั้งเดิมได้มากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความแตกต่างในแต่ละบุคคลเช่นกัน
ตอนนี้ระดับของฉู่หลิวเยว่อยู่ที่ระดับหกขั้นสูงสุด ซึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันแล้ว ถือได้ว่านางคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุด
นางมีชีพจรตี้จิง และในขณะเดียวกันความแข็งแกร่งทางกายภาพของนาง ก็แข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกันมาก
ซึ่งพละกำลังเหล่านี้ทำให้นางสามารถทนต่อคลื่นพลังที่บ้าคลั่งและรุนแรงเหล่านี้ได้ นางมีความอดทนและการดูดซับพลังที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นมันจึงดูเกินความคาดหมายของพวกอวี่เหวินจิงหงมาก และเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดนางถึงยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้
ทว่าอย่างใดเสีย สุดท้ายแล้วพลังปราณของนางก็อยู่แค่ระดับหกขั้นสูงสุดเท่านั้น เมื่อเทียบกับจวินจิ่วชิงแล้ว นางยังตามหลังเขาอยู่มาก!
แต่สาเหตุที่นางกล้าสู้กับจวินจิ่วชิงก็เพราะ ไข่มุกธาราในจุดตันเถียนที่สามารถกักเก็บพลังเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด!
แต่ในขณะเดียวกัน นางเองก็ประสบปัญหาร้ายแรงเช่นกัน แม้ว่าไข่มุกธาราจะดูดกลืนพลังปราณดั้งเดิมทั้งหมดนี้ได้ แต่ร่างกายของนางอาจไม่สามารถต้านทานการไหลเวียน และผลกระทบจากพลังอันรุนแรงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างเต็มที่!
อันที่จริง นางเริ่มดูดกลืนพลังได้ไม่นาน นางก็เริ่มปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว
และตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ทว่าไม่เพียงแต่ความเจ็บปวดนั้นจะไม่ลดลงแล้ว แต่มันกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น!
นางรู้สึกแม้กระทั่งว่า ยามที่พลังปราณดั้งเดิมเหล่านั้นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง พวกมันกลับให้สัมผัสอันแสนเจ็บปวด ราวกับมีดคมที่กรีดกรายกล้ามเนื้อและกระดูกของนางอย่างดุเดือด!
แต่เนื่องจากคนอื่นๆ อยู่ห่างออกไปไกล ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นว่าเสื้อผ้าบนกายบางนั้น กำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีชาดที่ค่อยๆ ไหลซึมออกมาทีละนิด
และกายบางภายใต้อาภรณ์นั้นเองก็เปียกโชกไปด้วยเลือดเช่นกัน!
…
เมื่อเทียบกับฉู่หลิวเยว่แล้ว สถานการณ์ทางฝั่งจวินจิ่งชิงนั้นดีกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย
ความแข็งแกร่งของเขาสูงกว่าฉู่หลิวเยว่มากกว่าหนึ่งระดับ และเขามีสายเลือดของราชวงศ์เป่ยหมิงอยู่ในตัว อาจกล่าวได้ว่าสำหรับเขาแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นมันถูกที่ ถูกเวลาและถูกคนก็ว่าได้!
และจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศและไม่เคยตกอยู่ภายใต้อานัติของพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวนั้น!
ซึ่งมันเป็นตัวบ่งชี้ว่าความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของเขาล้วนเป็นของจริง!
ยิ่งเวลาผ่านไป ลมปราณรอบตัวเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นราวทวีคูณ!
แต่แน่นอนว่าเขาสัมผัสได้ว่าพลังปราณส่วนน้อยที่ควรจะเป็นของเขา กำลังถูกใครบางคนดูดกลืนและดึงมันไปครึ่งหนึ่ง
เดิมทีเขาคิดว่ามันจะจบลงในเร็วๆ นี้ แต่ดันคิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปพักใหญ่ มันก็ยังไม่หยุดเสียนี่
จวินจิ่วชิงหลุบตาลงมองอีกฝ่าย
และคราวนี้เขาสามารถมองเห็นฉู่หลิวเยว่ที่กำลังนั่งขัดตะหมาดตัวเปื้อนเลือดได้อย่างชัดเจน!
แววตาที่แสนเคร่งขรึมทอประกายวูบหนึ่ง และเพียงขยับตัวนิดหน่อย เขาก็ร่อนลงตรงหน้าฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้ารนหาที่ตายอยู่หรือไร?”
เขาถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาสุดขั้วหัวใจ
“เพียงเพื่อเอาชนะข้า เจ้าถึงกับยอมตายเลยหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะ
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้ามิได้สู้เพราะอยากชนะเจ้าเสียหน่อย”
นางทำเช่นนี้ก็เพราะอยากเอาชนะจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ในพลังปราณศักดิ์สิทธิ์นี้ต่างหาก!
ในเมื่อมันคิดว่านางเป็นภัยคุกคาม เช่นนั้นนางก็จะคุกคามมันให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปข้าง!
นัยน์ตาสีแดงของจวินจิ่วชิงพลันเข้มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับชุ่มไปด้วยเลือด!
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
“ด้วยสภาพเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะสู้กับข้าอีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปช้าๆ พลางชำเลืองมองเขา ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม ทว่าคราบเลือดสีแดงที่เลอะกรังอยู่ตรงมุมปากนั่น กลับทำให้รอยยิ้มนั้นดูดื้อรั้นและจองหองนัก
“…ก็แค่… ล้มข้า… เจ้าทำไม่ได้หรือ?”
เสียงของนางเบาหวิว ทว่าความรู้สึกที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่นช่างยโสโอหังนัก
ราวกับไม่มีอันใดในโลกนี้ที่นางทำไม่ได้
จวินจิ่งชิงเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง แล้วค่อยๆ กำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
เขาเดาออกว่านางต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองให้เร็วที่สุด แต่มันเสี่ยงเกินไปที่จะทำเช่นนั้น
อันใดที่ทำให้นางมั่นใจได้ขนาดนั้นกัน?
ดวงตาของจวินจิ่วชิงกวาดมองไปทั่วใบหน้าซีดเซียวนั่น พลางยิ้มเยาะอย่างมีนัย โดยที่หางตาและเรียวคิ้วไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“ในเมื่อเจ้าดื้อดึงอยากสู้นักล่ะก็… ข้าก็จะอัดเจ้าให้แพ้จนหมดสภาพไปเลย!”
หลังจากพูดจบ พลังปราณดั้งเดิมในกายของเขาก็เพิ่มขึ้น พร้อมค่ายกลที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง!
พลังปราณดั้งเดิมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ พุ่งเข้าหาเขาทันที!
กระแสน้ำวนสีทองเหนือศีรษะของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ หดตัวลง!
จากนั้นพลังปราณที่อยู่รอบๆ ตัวนาง ก็เริ่มเคลื่อนเข้าไปหาจวินจิ่วชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วสูง!
…
“จอมยุทธ์ระดับเก้า!”
เมื่อตระหนักถึงการเคลื่อนไหวนี้ เจี่ยนเฟิงฉือก็ลืมตาขึ้นทันควัน พลางเพ่งมองภาพนั้นอย่างจดจ่อตั้งมั่น
ไม่แปลกที่จวินจิ่วชิงผู้นี้มักจะทำตัวหยิ่งผยองกว่าใครในราชวงศ์เป่ยหมิง นั่นเพราะพรสวรรค์และความแข็งแกร่งแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นี่อาจยังไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเขาก็ได้!
เมื่อเห็นว่าพลังปราณดั้งเดิมทั้งหมดแทบจะพุ่งเข้าไปหาเขา ฉู่หลิวเยว่ก็พลันรู้สึกอ่อนแอลงอย่างมาก
หรือนี่จะเป็นการต่อสู้ที่จบภายในพริบตาเดียวกันนะ!
“เหตุใดจวินจิ่วชิงผู้นั้นถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้?”
มู่หงอวี่พรวดพราดลุกขึ้นยืนอย่างกระวนกระวาย
“ความจริงหากครานี้ฝ่าบาทจะพ่ายแพ้ก็ไม่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ท่านสูญเสียพละกำลังไปมาก ตอนนี้ขอเพียงท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือก็…ฝ่าบาท!”
แต่ก่อนที่อวี่เหวินจิงหงจะทันได้พูดจบ ก็จำต้องเบิกตากว้างด้วยความหวาดผวา!
เพราะจู่ๆ ก็มีลูกศรพุ่งถลาเข้ามาบนยอดเขาสูงที่ถูกห้อมล้อมด้วยแสงสีทองเจิดจรัสทั่วท้องฟ้า! แล้วพุ่งใส่ฉู่หลิวเยว่โดยตรง!
**********************************