ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 103-1
สองวันถัดมา ในแต่ละวัน พี่น้องสกุลอวิ๋นจะมาฝึกขี่ม้าที่สนามม้าสวินหลานเป็นเวลาครึ่งวัน แต่ก็ไม่เจออวี้โหรวจวงกับท่านหญิงหย่งจยาเหมือนวันแรกอีก
อวิ๋นจิ่นจ้งเคยได้ยินเรื่องของพี่สาวกับอวี้โหรวจวงมาบ้าง และวันนั้นก็เห็นกับตาว่าอวี้โหรวจวงมีท่าทีไม่ดีกับพี่สาว วันที่สอง พออวิ๋นจิ่นจ้งไม่เห็นอวี้โหรวจวงมาที่สนามม้า ก็เป่าปากอย่างโล่งอก ก่อนบ่นเลียนแบบผู้ใหญ่ขณะนั่งอยู่บนอานม้า
“พวกเจ้าผู้หญิงก็วุ่นวายแบบนี้ล่ะ พอเจอหน้ากัน ถ้าไม่เหมือนจิ่นจ้งกับนางโจรแซ่เฉินที่ติดกันแจราวกับกาวตราช้างอย่างไรอย่างนั้น ก็เหมือนเจ้ากับคุณหนูบ้านสมุหนายกอวี้ ที่เป็นคู่อาฆาตอย่างไรอย่างนั้น วันนี้นางไม่มา จึงค่อยยังชั่วหน่อย”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะพลางจ้องมองน้องชาย พอพูดถึงอวี้โหรวจวง ตนก็นึกเอะใจถึงท่านหญิงหย่งจยาที่มีวาสนาได้เจอแค่ครั้งเดียว
รอจนอวิ๋นจิ่นจ้งพักสักครู่ ป้อนม้าให้กินหญ้าจนอิ่ม แล้วไปฝึกขี่ม้าต่อ ซ่งลุ่ยก็เดินเข้ามาพอดี อวิ๋นหว่านชิ่นจึงรีบเรียกไว้ “ใต้เท้าซ่ง”
ซ่งลุ่ยรับค่าน้ำร้อนน้ำชาไปแล้ว สามวันนี้ย่อมปรนนิบัติรับใช้เป็นอย่างดี พอได้ยินคุณหนูอวิ๋นเรียก ก็ยิ้มตาหยี เดินเข้าหาแล้วโค้งกายลง
“คุณหนูอวิ่นมีอะไรจะกำชับข้าน้อย”
อวิ๋นหว่านชิ่นแสร้งทำเป็นชวนคุยไปเรื่อย ใบหน้าพลางปรากฏรอยยิ้มไร้เดียงสา
“ก็ไม่มีอะไร แค่วันก่อนเห็นตอนท่านหญิงหย่งจยามา รู้สึกเหนื่อยแทนผู้ดูแลสนามม้าอย่างพวกเจ้า ที่ตลอดทั้งวันต้องต้อนรับลูกท่านหลานเธอกับคุณหนูคุณชายทั้งหลาย ชนิดต้องเอาใจใส่ในทุกๆ เรื่อง นับว่าเครียดไม่น้อยไปกว่าขุนนางอย่างพ่อข้าเลย”
ตลอดทั้งวันในสนามม้า ซ่งลุ่ยต้องจัดการเรื่องจุกจิก รับหน้าเจ้านาย สั่งการลูกน้อง ไม่ค่อยมีเวลามาพูดคุยเช่นนี้ จึงเดินเข้าใกล้เก้าอี้หวายที่ตั้งอยู่ ก่อนยิ้มรับแล้วว่า
“ขอบคุณที่คุณหนูอวิ่นเห็นใจเรา เดิมทีที่นี่ จะว่าสบายก็สบายนะ ลูกท่านหลานเธอที่อยู่ในวังจริงๆ ถ้าอยากจะขี่ม้า ยิงธนู หรือเดินย่ำสนามหญ้า ในวังก็มีสถานที่ลักษณะนี้อยู่เหมือนกัน กฎเกณฑ์ในวังก็เข้มงวด ใช่ว่าอยากออกก็ออกมาได้ ดังนั้นปกติแล้วเราก็ไม่ได้ต้อนรับผู้สูงศักดิ์มากมายอะไร ท่านหญิงหย่งจยา ไม่ปิดท่าน เมื่อวานก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ส่วนลูกสาวท่านสมุหนายกอวี้ก็ไม่ได้มาบ่อยๆ เมื่อวานจู่ๆ ก็มา ข้าน้อยก็นึกไม่ถึงอยู่เหมือนกัน”
“อ้าว?” อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วสวยขึ้น จ้องมองตาดำๆ ที่คล้ายลูกองุ่นก็มิปาน
ซ่งลุ่ยเห็นซ้ายขวาไร้ผู้คน ก็ก้าวเข้าไปใกล้อีกสองก้าว ขันทีที่ไม่มีอะไรทำ ปากมากยิ่งกว่านางในและมอมอเป็นไหนๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็มีเลศนัยอยู่บ้าง
“เมื่อวานตอนข้าน้อยรับใช้อยู่แถวนี้ ได้ยินทั้งสองคุยกัน ถึงได้รู้ว่าที่คุณหนูอวี้มาที่นี่เพราะคนๆ หนึ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นใคร”
ว่าแล้วก็ป้องปาก ทำท่าลับๆ ล่อๆ
“ก็องค์ชายสามไง จุ๊ๆ เสียดายที่องค์ชายสามไม่ได้มา งานก็เลยกร่อย…”
ที่แท้อวี้โหรวจวงกะมาเจอฉินอ๋องนี่เอง อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนท่าทีเป็นสนใจอีกเรื่อง “อ้อ” ชะงักเล็กน้อย “ที่แท้ท่านหญิงหย่งจยาก็มาเป็นครั้งแรกหรือ”
“ช่ายย เมื่อวานไม่รู้ลมอะไรพัดมา ส่งคนเข้าสนามม้ามาพร้อมกันรวดเดียว” ซ่งลุ่ยว่าพลางยิ้ม
ลมสายนี้ ไม่เพียงพัดคนให้มาเจอกันที่สนามม้าสวินหลาน ยังพัดต่อไปที่ป่าล้อมฮู่หลงด้วย
ถ้าจำไม่ผิด ท่านหญิงหย่งจยาเคยพูดว่า ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางไปล่าสัตว์ เรื่องนี้นางเป็นคนพูดออกมาเอง
อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงรู้สึกว่า เรื่องราวเหล่านี้มีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวโยงกัน แต่บอกไม่ได้ในทันทีว่า คืออะไร จึงหันไปยิ้มให้ซ่งลุ่ย โดยไม่พูดอะไรอีก
สองวันเร่งรีบที่เหลือ จึงผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา
สองวันสุดท้าย บ่าวในบ้านสกุลอวิ๋นก็จัดเตรียมของที่จำเป็นและง่ายต่อการพกพาให้คุณชายและคุณหนูของพวกเขา
ป่าล้อมฮู่หลงตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าที่ราชสำนักเลี้ยงไว้ ขนาบข้างด้วยภูเขาสูงทั้งสองด้าน ภูมิประเทศยังคงความเป็นธรรมชาติ ตอนนี้จึงหนาวกว่าในเมืองมาก
ถงฮูหยินกลัวว่าหลานทั้งสองจะไม่สบายเพราะความหนาว นอกจากสัมภาระในเบื้องต้น ก็ยังเตรียมของที่ให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างรอบคอบ ทั้งเสื้อผ้าเนื้อหนา เสื้อคลุมกันลม เตาอังมือ สนับเข่า กระทั่งผ้าห่มที่ตนถักเองเป็นต้น บอกให้ทั้งสองเอาไปเผื่อ
ก่อนเดินทางหนึ่งวัน ถงฮูหยินยังถือไม้เท้ามาง่วนกับการจัดของด้วยตัวเอง โดยสั่งให้คนขนของไปไว้ในห้องรับแขก แล้วลงมือห่อทีละชิ้น
อวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องโถงพอดี พอเห็นบ่าวมัดห่อผ้าไว้เป็นห่อๆ คล้ายกำลังจะอพยพหนีอย่างไรอย่างนั้น ก็หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ จึงลุกขึ้นยืน แล้วพูดปราม
“เมื่อเราตามเสด็จไป กองกิจการภายในย่อมเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ยังมีเหล่าเชื้อพระวงศ์อีก ไม่ได้มีเพียงชิ่นเอ๋อร์กับจิ่นจ้งสองคนนะ ท่านแม่ยังกลัวว่าจะไม่มีใครมารับใช้พวกเขาอีกหรือ”
ถงฮูหยินถ่มน้ำลาย “ก็เจ้าพูดอยู่แหม่บๆ ไม่ใช่หรือว่า คนที่ไปด้วยเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ บ่าวในวังเย่อหยิ่งจะตาย ย่อมใส่ใจลูกท่านหลานเธอพวกนั้นก่อน เกิดมีของอะไรที่ไม่พอใช้ขึ้นมา ก็ต้องพิจารณาให้พวกเขาใช้ไปก่อน โดยมองข้ามจิ่นจ้งกับชิ่นเอ๋อร์เราไป แบบนี้จะทำเช่นไร ไม่ได้ เอาไปก่อนเป็นดี เกินดีกว่าขาด”
อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี นี่เป็นการออกเดินทางท่องเที่ยวไปกับเหล่าเชื้อพระวงศ์นา กอง
กิจการภายในใหญ่ขนาดนี้ จะไม่เตรียมอะไรให้พร้อมสรรพหรือ ยังมีบ่าวคอยรับใช้ระหว่างทางอีก จะไม่พอได้อย่างไรกัน
ขณะกำลังจะพูดต่อ เหลียนเหนียงที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง เห็นพฤติกรรมที่ชอบหอบห่อผ้าน้อยใหญ่เข้าเมืองของคนในชนบทอย่างถงฮูหยิน ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสวยขึ้น ยิ้มพลางพูดอย่างนิ่มนวล
“ท่านพี่ ผู้อาวุโสแกคิดถึงคุณชายน้อยกับคุณหนูใหญ่น่ะ คำพูดของคนเฒ่าคนแก่ไม่ผิดหรอก เอาไปเผื่อก็ไม่เสียหายนี่”
พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินอนุคนโปรดเตือนสติ ก็นั่งลงตามเดิม พลางคิด
ตนไม่ใช่ใครอื่น ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตนเป็นเจ้ากรมกลาโหมที่สง่าผ่าเผย และกำลังค่อยๆ ขยับเข้าไปในแวดวงชนชั้นสูงสุด จึงเกรงว่าจะถูกผู้อื่นดูแคลนเอา การขนห่อผ้าเป็นห่อๆ น้อยใหญ่ไปกับขบวนเช่นนี้ เหมือนการกระทำของคนบ้านนอกไม่มีผิด ถ้าคนในวังเห็นเข้า พาลจะขายหน้าเอา เพียงแต่ตนเพิ่งให้สัญญาไปว่า จะไม่ขัดใจถงฮูหยินอีก ตอนนี้จึงพูดอะไรไม่ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าบิดา ก็เดาได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จึงได้แต่ช่วยมัดของเงียบๆ อยู่ข้างๆ ท่านย่า
ถงฮูหยินแอบหันไปแค่นเสียงเย็นชาใส่ลูกชายคนรอง แล้วจึงหันมามองสองพี่น้องอย่างอ่อนโยน เห็นทีต้องสั่งสอนลูกชาย โดยพูดจาผ่านหลานสักหน่อย
“ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์กับจิ่นจ้งที่รู้ความ บางคนได้รับยศศักดิ์นิดหน่อยก็ลืมกำพืดตัวเองแล้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่ลูกหลานสกุลอวิ๋นเราควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง! คิดถึงเมื่อก่อน ที่ขนาดข้าวชามนึงยังต้องแบ่งกันกิน ตอนนี้แค่เอาห่อผ้าไปไม่กี่ห่อก็กลัวว่าคนเขาจะพูดจาเหน็บแนมเย้ยหยันเสีย ไปเอานิสัยจอมปลอมแบบนี้มาจากไหนกัน!?”
พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินก็หน้าแดง ได้แต่อดทนไว้ ไม่พูดจา