ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 105-3 ผ่าพิสูจน์ศพ กระทำรุนแรง
เฉาหนิงเอ๋อร์เห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ถูกต้อง จึงรีบพูด “ใต้เท้าอย่าได้เข้าใจผิด คุณหนูอวิ๋นมิได้ขัดแย้งกับคุณหนูหลิน ทั้งหมดคุณหนูหลินเป็นคนหาเรื่องก่อน ซึ่งคุณหนูอวิ๋นไม่ได้อยากทะเลาะกับนางเลย ไม่ได้โต้ตอบคุณหนูหลินสักคำด้วยซ้ำ!”
“ใช่ค่ะใต้เท้า” หานเซียงเซียงที่ขี้ขลาดสุด ก็ยังเอ่ยปากขึ้นเช่นกัน “ตอนนั้นผู้น้อยยังบอกว่า แขนของ
คุณหนูอวิ๋นบวมขนาดนี้แล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า คุณหนูอวิ๋นกลับบอกว่า ไม่เป็นไร แถมยังปลอบกลับข้าน้อยอีก
ถ้าคุณหนูอวิ๋นแค้นคุณหนูหลิน จะอดทนและอ่อนโยนเช่นนี้หรือ”
“คุณหนูทั้งสองไม่เคยสัมผัสนักโทษมาก่อน จึงยังไม่รู้อะไรบางอย่าง” อวี้เฉิงกังหรี่ตาลง ก่อนส่ายหน้าด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“นักโทษบางคนเป็นคนเจ้าอารมณ์ พอรู้สึกโกรธก็ต้องแก้แค้นเดี๋ยวนั้นเลย แต่บางคน กลับเก็บไว้ในใจ ตอนนั้นไม่พูดอะไร แต่จิตใจค่อนข้างดำมืด จากนั้นก็จะลงมือแก้แค้นโดยไม่รู้ตัว พวกเจ้าดูสิ ตั้งแต่เช้าที่พวกเจ้าพบศพ จนถึงตอนนี้ คุณหนูอวิ๋นท่านนี้ ทั้งแตกตื่นทั้งร้องไห้ ตระหนกตกใจแบบพวกเจ้าหรือเปล่า ตามความเห็นข้า นางน่าจะเป็นคนประเภทหลังนะ”
กลุ่มคนกลั้นหายใจ หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมาเผชิญหน้าตรงๆ กับอวี้เฉิงกัง แต่กลับแย้มยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“ดังนั้น ตามข้อสันนิษฐานของใต้เท้า น่าจะรายงานเบื้องบนดังนี้ เมื่อคืนวาน เด็กสาวทะเลาะเบาะแว้งกับคุณหนูหลิน แล้วไม่ทันระวัง ถูกนางผลักจนข้อศอกชนเสาบาดเจ็บ จึงเกิดจิตสังหารขึ้น พอตกดึกค่อยฉวยโอกาสที่ทุกคนหลับใหล ใช้ผ้าห่มอุดทางเดินหายใจของคุณหนูหลินจนเสียชีวิต จากนั้นก็กลับไปนอนหลับสนิทอย่างสบายอกสบายใจ? และที่เด็กสาวสงสัยและชี้ขาดถึงสาเหตุการตายของคุณหนูหลิน ก็ล้วนเป็นเพราะ
ต้องการทำให้พวกท่านสับสน ด้วยกลัวว่าจะถูกพวกท่านจับได้ แบบส่งเสียงบูรพา ตีฝ่าประจิม ถูกต้องไหม”
พออวี้เฉิงกังเห็นเด็กสาวเดาความคิดทุกอย่างของตนออก ก็สะดุดกึก แต่กลับหัวเราะเย็นชาออกมา
“นี่ก็คือสถานการณ์ที่สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้ล่ะ”
แล้วเจ้าหน้าที่ตุลาการที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็โน้มตัวลง ยกมือป้องปากพลางพูดเสียงเบา
“หัวหน้า ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าคุณหนูอวิ๋นท่านนี้จะมีความผิดหรือไม่ ก็ล้วนตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีคุณหนูหลินแล้ว ซึ่งตามหลักการ ย่อมไม่สามารถตามเสด็จไปล่าสัตว์ เช่นนั้นข้าน้อยก็ต้องไปแจ้งต่อนายอำเภอเมืองยงโจว ให้คุมขังนางไว้ในเรือนจำของที่ทำการอำเภอชั่วคราว แล้วค่อยคุมตัวกลับเมืองหลวงให้กรมยุติธรรมสอบละเอียดอีกที…”
เสียงแม้เบา แต่คนในห้องกลับได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เฉาหนิงเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีด รีบดึงมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ “คุณหนูอวิ๋น คราวนี้จะทำอย่างไรกันดี…”
เพิ่งตามเสด็จมาได้ครึ่งทาง ก็ต้องมาเจอเรื่องเดือดร้อนเสียแล้ว ถ้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้วถูกส่งตัวกลับ
เมืองหลวง ต่อให้ถูกตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่า อวิ๋นหว่านชิ่นมิใช่ผู้กระทำ ก็ถือว่าเลวร้ายมากอยู่ดี คุณหนูของบ้านขุนนางผู้สูงศักดิ์ ถูกขังอยู่ในเรือนจำนานหลายวัน…นั่นเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่งเชียว! ช่างเคราะห์ร้ายเสียนี่กระไร!
หานเซียงเซียงเริ่มสะอื้น ก่อนร้องไห้อีกครั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นจับมือเฉาหนิงเอ๋อร์ลง กลัวหรือ ไม่เลย
ถ้าบอกว่าตอนนี้มีเพียงกองกิจการภายในอยู่ที่นี่เพียงกองเดียว นางอาจกลัวจริง เพราะมีเพียงหัวหน้ากองเท่านั้นที่ใช้มือปิดฟ้าได้ แต่ตอนนี้นางอยู่ที่ไหนเล่า อยู่ในขบวนตามเสด็จนะ!
ในขบวนตามเสด็จ มีเจ้านายชั้นสูงที่น่าเชื่อถือและสามารถตัดสินเรื่องราวได้เต็มไปหมด! ทั้งพระมเหสีรอง ฮองเฮา กระทั่งยังมีฝ่าบาทด้วย! ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำให้เป็นเรื่องใหญ่! ใหญ่จนกระดาษห่อไฟไม่อยู่!
ต่อให้อวี้เฉิงกังนั่งคิดนอนคิดก่ายหน้าผากคิด ก็ยังคิดไม่ออกว่า ชาติก่อนนางเคยหลอกลวงฮูหยินผู้อาวุโสของบ้าน แม้แต่ฎีการ้องเรียนก็เคยถวายมาแล้ว ตอนนี้จะเป็นแบบกุลสตรีผู้อ่อนแอได้อย่างไรเล่า
“หากอยากเพิ่มความผิดให้ ก็ตามใจ” อวิ๋นหว่านชิ่นมั่นใจ “ถ้าหัวหน้าอวี้ต้องการให้ข้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยจริงๆ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่เรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป บิดาข้าจะดีจะร้ายอย่างไรก็เพิ่งได้เป็นท่านเจ้ากรม ก่อนที่หัวหน้าอวี้จะคุมตัวข้าไป หรือไม่ต้องแจ้งให้ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงทราบก่อน”
“องค์ชายกระทำผิด มีโทษเท่าสามัญชน แล้วลูกสาวขุนนางอย่างเจ้านับเป็นตัวอะไรได้ ถ้าหัวหน้ากองกิจการภายในอย่างข้าตัดสินใจเรื่องแค่นี้ไม่ได้ แล้วยังจะกล้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับฮองเฮาหรือ? เจ้าวางใจ! เจ้าเข้าคุกก่อน แล้วข้าค่อยรายงานทีหลัง!”
อวี้เฉิงกังเป็นวัวสันหลังหวะ จึงรีบส่งสายตา พอเจ้าหน้าที่ตุลาการโบกเงียบๆ ขันทีรูปร่างบึกบึนของกองกิจการภายในก็ก้าวเข้ามา ขณะจะยื่นมือไปลากตัวอวิ๋นหว่านชิ่น กลับได้ยินเสียงคนตะโกนก้อง
“ช้าก่อน หัวหน้าอวี้!”
เป็นเสียงชายชรา แต่กลับดังกังวาน ทรงพลังสุดๆ
เสียงนี้คุ้นหูอวิ๋นหว่านชิ่นยิ่ง จึงหันมองอย่างประหลาดใจ
ชายชราสวมชุดยาวสีเขียว ใบหน้ากลมๆ แดงระเรื่อ ท่าทางแข็งแรง ดูมีสง่าราศี มือถือกล่องเครื่องมือแพทย์ ก้าวเข้ามาในห้องโถง
ที่แท้ก็เป็นเหยากวงเหย้า ครั้งนี้เขาตามเสด็จมาในฐานะหมอหลวง แต่ไม่มีใครเห็น และไม่คิดว่าตอนนี้เขาจะปรากฎตัวขึ้น
อวี้เฉิงกังขมวดคิ้ว ตาแก่ที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานในสำนักแพทย์หลวง ไม่ค่อยยุ่งกับใครมาแต่ไหนแต่ไร แล้วตอนนี้มาดูความคึกคักหรือ แต่ก็ยังคงลุกขึ้นยืน
“หมอหลวงเหยาทำไมถึงมาได้ล่ะ”
เหยากวงเหย้าเหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วก้าวยาวๆ เข้าหานาง ก่อนแค่นเสียงใส่ขันทีสองคนที่อยู่ด้านหลัง
“ใสเกือกของเจ้าไปซะ!”
ขันทีทั้งสองของกองกิจการภายในจึงถอยออก
ทำให้อวี้เฉิงกังยิ่งงงงวยเข้าไปอีก จึงไม่เกรงใจแล้ว
“เรื่องที่เกี่ยวกับน้องสาวของหลินต้าเย่เมื่อเช้า หมอหลวงเหยาคงได้ยินมาบ้างแล้ว ข้าสอบสวนคนอยู่ ท่านทำอะไรน่ะ”
เหยากวงเหย้าวางกล่องเครื่องมือแพทย์ลง แล้วจ้องมองอวี้เฉิงกังด้วยดวงตากลมวาวที่ดำขลับราวกับเด็กสามขวบ “สอบสวนคน? ข้าว่าเจ้าสอบสวนศพก่อนเถอะ! ยังไม่ทันตรวจศพให้ดี สำมะหาอะไรจะมาสอบสวนคน ถุย!”
หมอหลวงในวังไม่ว่าสังกัดหน่วยไหน ล้วนมาจากสำนักแพทย์หลวงทั้งสิ้น หมอหลวงประจำกองกิจการภายในที่ชันสูตรพลิกศพหลินลั่วหนานก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังจากชันสูตรเสร็จ ย่อมต้องกลับไปรายงานให้เหยากวงเหย้าทราบ พอได้ยิน เหยากวงเหย้าก็รู้คร่าวๆ ว่า อวี้เฉิงกังกำลังจะบิดเบือนรูปคดี สรุปสำนวนเท็จ ป้ายสีผู้อื่นอีก ถ้าเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่พอฟังอีกที แล้วได้ยินว่าเด็กสาวนอกวัง ลูกศิษย์หนึ่งเดียวของตนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ก็นั่งไม่ติดแล้ว
ตาแก่คนนี้ตอนอยู่ในวัง ก็เป็นคนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไม่ยอมลงให้ใครอยู่แล้ว แต่อยู่ได้เพราะอาศัยมิตรภาพเก่าแก่กับเจี่ยไทเฮา และออกตรวจสุขภาพให้ฝ่าบาท ฮองเฮาและเจ้านายท่านอื่นเป็นประจำ
ซึ่งอวี้เฉิงกังให้ความเกรงใจเขาเรื่อยมา แต่ตอนนี้พอเห็นเขาเอ็ดและดูหมิ่นตน ก็เริ่มไม่พอใจ
“สอบสวนศพอะไร ก็ชันสูตรเสร็จแล้วนี่ ตายเพราะขาดอากาศหายใจไง! ศพก็เอาไปเก็บไว้ในห้องเย็น
ของโรงเตี๊ยมแล้ว!”
“หึๆ ขาดอากาศหายใจ ตอนเจ้าตาย ก็ขาดอากาศหายใจนี่ ลูกเจ้า หลานเจ้าตาย ก็ขาดอากาศหายใจกันหมด แต่ทำไมถึงขาดอากาศหายใจล่ะ เจ้าตรวจดูให้ดีแล้วหรือยัง”
เหยากวงเหย้ากัดไม่ปล่อย ก่อนปรบมือ “เด็กๆ ไปยกศพผู้ตายมา!”