ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 106-1 จุลสีไหลทั่วร่าง ชนเสาหนีความผิด
มือของผู้ชายก็เหมือนคีมหนีบของ กระด้างและมีกำลังแรง ไม่เพียงบีบแน่นเข้าที่ต้นคออันอ่อนนุ่มของหญิงสาว อีกข้างยังยกขึ้นมาปิดบริเวณแก้มของนางไว้ ไม่ให้ตะโกนร้อง พลางด่าทอ
“นังตัวดี อุตสาห์ไว้หน้า แล้วยังไม่เอาอีก! หึ! เหล้ามงคลไม่ดื่ม อยากดื่มเหล้าพิษนักใช่ไหม ดี เจ้าจะได้สิทธินั้นทันที ข้าต้องบอกนายอำเภอเมืองยงโจวแน่ ให้เจ้าลิ้มรสความสุขในคุกให้เต็มที่!”
แล้วจึงเปลี่ยนโทนเสียงให้เป็นมิตรและอ่อนน้อม หันไปทางขันทีที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ก่อนขึ้นเสียงสูง
“แต่ฉินอ๋องเสด็จ ผู้น้อยขอสะสางเรื่องนิดหน่อย แล้วจะรีบออกไป!”
พูดจบ อวี้เฉิงกังก็ขมวดคิ้ว องค์ชายสามมาทำลิงอะไรตอนนี้
แล้วดวงตาก็ฉายแววเย็นยะเยียบขึ้นวาบหนึ่ง ตัดสินใจว่าต้องฟาดฝ่ามือใส่อวิ๋นหว่านชิ่นให้สลบก่อน จะได้ไม่ก่อเหตุวุ่นวายต่อหน้าองค์ชาย
แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับฉวยจังหวะที่เขายกมือขึ้น อ้าปาก แล้วงับลงไปอย่างสุดแรงเกิด ถูกหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของชายวัยกลางคนพอดี…
“โอ๊ย…” อวี้เฉิงกังร้อง แม้รีบลดความดังของเสียง แต่คนในห้องโถงยังคงได้ยิน
เหยากวงเหย้าที่กำลังนั่งหอบแฮ่กๆ จึงตาโตหูผึ่ง ดีดตัวจากเก้าอี้พนักทรงกลม ลุกพรวดขึ้น
ความหดหู่วาบผ่านแววตาซย่าโหวซื่อถิง เขารีบก้าวเข้าด้านใน
ขณะแขนยาวๆ กำลังจะเลิกม่านประตูขึ้น ขันทีสองคนที่เพิ่งถูกไล่ให้ออกมาเฝ้าหน้าห้องก็กุลีกุจอเข้ามา แม้รู้ว่าสถานะของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ควรล่วงเกิน แต่ถ้าปล่อยให้เข้าไปดื้อๆ เช่นนี้ หัวหน้าต้องถลกหนังพวกเขาแน่ พวกเขาอยู่ข้างกายอวี้เฉิงกังมาหลายปี ไหนเลยจะไม่รู้ว่า เวลาหัวหน้าสอบสวนนักโทษหญิงเพียงลำพัง หมายความว่าอะไร หัวหน้านี่ก็จริงๆ เลย ยิ่งมาก็ยิ่งลามปาม ไม่ยอมปล่อยสาวชาววังชั้นสูงสักคน ตอนนี้แม้แต่ลูกสาวท่านเจ้ากรมก็ยังคิดข่มเหง
ทั้งสองจึงยื่นมือออกขวางอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางพูดถ่วงเวลา
“ท่านอ๋อง หัวหน้ากำลังสอบสวนคนอยู่…”
สีหน้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเย็นชาราวลูกเห็บตก “ไสหัวไป”
สองขันทีรู้สึกหนาวเข้ากระดูกทันที ขณะกำลังยืนอึ้ง ชายหนุ่มก็ปัดผ้าม่านขึ้น แล้วก้าวยาวๆ ย่ำหนักๆเข้าไป
ในห้อง ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นกัดลงไปแรงๆ ก็ตั้งใจว่าต้องกัดชิ้นเนื้อครึ่งหนึ่งของฝ่ามืออวี้เฉิงกังให้ได้ ตอนนี้มือของเขาจึงมีโลหิตหยาดหยด ทำให้ต้องคลายมือลง แล้วก้าวถอยหลัง ใช้มืออีกข้างอุดปากแผลไม่ให้โลหิตไหล พลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ตอนนี้ด้านนอกมีคน จะตบตีด่าทอก็ไม่สู้จะดี
ขณะเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นหันกาย กำลังจะเดินออกจากห้อง อวี้เฉิงกังจึงข่มกลั้นความเจ็บปวด เตรียมดึงมือนาง แต่กลับต้องตกใจกับชายหนุ่มที่ผลุนผลันเข้ามา จนต้องยืนนิ่ง
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น พอหันกาย ก็ชนเข้ากับทรวงอกของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเข้าเต็มๆ ศีรษะจึงมึนงง แต่ถูกเขาประคองร่างไว้
จึงเงยหน้าขึ้น และสบตากับเขาพอดี ดวงตาของเขายังคงสงบนิ่งและล้ำลึก ยากแท้หยั่งถึง แต่ตอนนี้ คล้ายมีความกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่รู้ทำไม นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาแล้วรู้สึกปลอดภัย พริบตาที่เห็นเขาจ้องมองอวี้เฉิงกังอย่างดุร้ายและเย็นชานั้น ความรู้สึกกลัวก็มลายหายสิ้น
ซย่าโหวซื่อถิงประคองนางให้ยืนนิ่ง ท่าทางนางแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นอยู่มาก นางเหมือนสิงโตสาวตัวน้อยที่ดุร้ายและฉุนเฉียว มีเขี้ยวเล็บพร้อมต่อสู้ศัตรู แต่ชั่วขณะที่เขาจับแขนหยกของนางไว้ กลับรู้สึกว่าร่างนางพลันอ่อนยวบลง มิได้เกร็งขนาดนั้น
จึงปลอบใจตัวเองนิดหน่อยว่า อย่างน้อย นางก็ไว้ใจตน ตนทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
ซย่าโหวซื่อถิงนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียง หันมองไปรอบๆ สำรวจสิ่งของในห้องอย่างทะลุปรุโปร่ง
อวี้เฉิงกังหอบเหมือนวัว มือมีโลหิตไหล ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ จ้องมองมาพร้อมดวงตาแดงก่ำ
ผมเผ้าและเสื้อผ้าของอวิ๋นหว่านชิ่นยุ่งเล็กน้อย หน้าแดงระเรื่อ
ไม่ต้องใช้หัวคิด ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากความสูงของเขา กับต้นคอของนาง กระทั่งคอเสื้อที่นางขยับให้หลวม ก็เผยให้เห็นผิวหนังส่วนหนึ่งที่ซีดขาว และมีรอยแดงที่ไม่ปกติ
ม่านตาชายหนุ่มหดลงเล็กน้อย แล้วเย็นยะเยือกในทันที เต็มไปด้วยไอเย็นที่ทำให้ผู้คนตัวสั่นได้แม้อากาศไม่หนาว แต่เขาก็ยังมิได้ทำการใดๆ เพียงยืนไม่ขยับ ขวางอยู่ตรงประตู
พอเห็นเช่นนี้ อวี้เฉิงกังก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง…เมื่อครู่ องค์ชายสามที่อยู่ตรงหน้า มีท่าทีเหมือนอยากฉีกตนออกเป็นชิ้นๆ
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เขากับตนไม่มีความแค้นต่อกัน ทำไมถึงต้องพุ่งเป้ามาที่ตน หรือเป็นเพราะหญิงผู้ต้องสงสัยนางนี้?
สักพัก ซย่าโหวซื่อถิงค่อยสงบสติอารมณ์ลง จึงเอ่ยขึ้น “ออกไปก่อน”
ฟังน้ำเสียงไม่ออกว่าอารมณ์ไหน กระทั่งอารมณ์พื้นฐานอย่างทุกข์สุข หรือสนุกเศร้า ก็เห็นไม่ชัดเจน
ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะก้าวออก กลับได้ยินเสียงเรียกของเขาดังจากด้านหลัง “ช้าก่อน”
ซย่าโหวซื่อถิงยกมือจับคอเสื้อคลุม ดึงปมผ้าออก ถอดเสื้อคลุมลายงูใหญ่ดิ้นทอง นำไปคลุมร่างนางไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มศีรษะ แม้ไม่ค่อยเหมาะนักที่จะสวมเสื้อคลุมของบุรุษออกไป แต่เสื้อผ้าตนก็ไม่เรียบร้อยจริงๆ ด้วยเพิ่งผ่านการบู๊มา กระทั่งบางส่วนของเสื้อยังฉีกขาดราวนิ้วสองนิ้ว ถ้าออกไปในสภาพนี้อาจยิ่งขายหน้าผู้คน จึงรีบจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย จับผมเผ้าให้เข้าที่ ก่อนก้าวออก
พอเห็นร่างของอวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปไกลลับตา ซย่าโหวซื่อถิงค่อยหันกลับมาจ้องมองอวี้เฉิงกัง
ซึ่งอวี้เฉิงกังเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นสายตาเย็นชาทะลวงกระดูกเช่นนี้มาก่อน พลันจุกที่ลำคอ แต่พอ
รู้สึกตัว ก็รีบก้าวขึ้นหน้า
“ฉินอ๋องมาได้อย่างไร ผู้น้อย…”
ยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็หันกาย สาวเท้าก้าวยาวๆ เลี้ยวหายลับไป
อวี้เฉิงกังจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ได้แต่ก้าวตามออกไปก่อน
…
ในห้องโถง พอกลุ่มคนเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นสวมเสื้อคลุมยาวขององค์ชายสามเดินออกมา ก็พากันตกใจ
เหยากวงเหย้าก้าวเข้าหา “ยัยหนู เจ้า…” อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตา บอกว่าไม่มีเรื่องอะไร
ฉินอ๋องกับอวี้เฉิงกังค่อยเดินออกมาทีหลัง