ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 107-3 ท่านสามชิงตัดหน้า
ขณะเดินอ้อมระเบียงทางเดิน ผ่านสวนดอกไม้และภูเขาจำลองของโรงเตี๊ยม ก็ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของนางในตามเสด็จกลุ่มหนึ่งดังมาจากด้านหน้า
“…พวกเจ้าได้ยินกงกงของกองกิจการภายในคุยกันไหม เมื่อกี๊องค์ชายสามถอดเสื้อคลุมของตัวเองให้คุณหนูบ้านเจ้ากรมอวิ๋นสวมไว้เชียว”
“มีเรื่องแบบนี้จริงหรือ ข้ายังนึกว่าคนเยอะ แล้วตาลาย ถึงได้พูดต่อๆ กันไปเรื่อย”
“ที่แท้องค์ชายสามกับคุณหนูอวิ๋นก็รู้จักกันมาก่อนนี่เอง!”
“เจ้านี่โง่จริง แค่รู้จักกันที่ไหน! ข้าก็รู้จักองค์ชายสาม แล้วเจ้าเห็นองค์ชายสามให้เสื้อคลุมข้าหรือเปล่าล่ะ เจ้ายังรู้จักฝ่าบาทด้วย แล้วทรงให้อะไรเจ้าบ้างไหม ข้าว่านะ ต้องคบกันแล้วแน่ ไม่ใช่สิ ต้องไม่ใช่แค่คบกัน…”
“โอ้ว พวกเจ้าอย่าซี๊ซั๊วพูด ไป พวกเจ้าพูดกันไปเรื่อยแบบนี้ ได้รับอนุญาตจากองค์ชายสามหรือยัง หาก…ทั้งสองมีอะไรกันจริง แต่ไม่อยากให้ใครรู้ แล้วองค์ชายสามไม่พอใจขึ้นมา พวกเจ้ารับไหวไหม!”
“กลัวอะไร! ไม่ได้มีแต่เราไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้สักหน่อย ตอนนี้นะ ทั้งนางใน มอมอ กงกงที่ตามเสด็จกลุ่มใหญ่ก็น่าจะได้ยินกันหมดแล้วล่ะ”
ปากบอกว่าไม่กลัว แต่นางในบางคนกลับเงียบเสียงลง แล้วรีบขนข้าวของสัมภาระของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ขึ้นไปเก็บบนรถม้า
เหยาฝูโซ่วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นฝ่าบาทยืนนิ่ง พอฟังจบก็หน้าเครียด และพอหันมา ก็หน้าเขียวอยู่บ้าง
หนิงซีฮ่องเต้เพิ่งดุด่าว่ากล่าวอวี้เฉิงกังที่ไม่ตั้งใจทำงานและไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ย่อมได้ยินมาว่าท่านสามเสด็จไปยังห้องซึ่งกองกิจการภายในใช้สอบสวน แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ท่านสามคบกับลูกสาวอวิ๋นเสวียนฉั่งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงขมวดคิ้ว
“เหยาฝูโซ่ว เจ้าสามกับคุณหนูอวิ๋นคบกันอยู่หรือ”
“ฝ่าบาท อันนี้…อันนี้บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน…” เหยาฝูโซ่วประหม่าเล็กน้อย
หนิงซีฮ่องเต้เข้าใจแล้ว มิน่าเล่าสนมเอกเฮ่อเหลียนถึงคุยให้ตนฟังบ่อยๆ ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นมีลักษณะนิสัยที่เหมาะกับการเป็นสะใภ้จ้าว อืมถูกละ…แม้แต่บัตรเชิญผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ของไทเฮา สนมเอกเฮ่อเหลียนก็ส่งชื่อนางมาให้ตน
ถ้าเจ้าสามเล็งอวิ๋นหว่านชิ่นไว้แต่แรกแล้ว สนมเอกเฮ่อเหลียนผู้เป็นมารดา ไหนเลยจะไม่ช่วยโอรสเล่า
ที่แท้ เจ้าสามกับอวิ๋นหว่านชิ่นก็มีอะไรกันแล้ว?
ถ้าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ เจ้าสามได้มอบเสื้อคลุมให้คุณหนูอวิ๋นต่อหน้าธารกำนัล ก็เท่ากับว่าได้ประกาศเรื่องของเขากับคุณหนูอวิ๋นในที่สาธารณะ ปล่อยข่าวให้คนในวังรู้ ซึ่งตอนนี้คนในวังก็ได้แต่คิดว่าเจ้าสามถูกใจคุณหนูอวิ๋น กระทั่งเดาไปว่าทั้งสองมีอะไรกันแล้ว ซึ่งข่าวกำลังถูกโหมกระพือ กลุ่มคนแอบลือกันไปอย่างรวดเร็ว ตนทำอะไรในตอนนี้ก็ไม่ดีทั้งนั้น…
แม้บอกว่าฮ่องเต้ยิ่งใหญ่สุดในใต้หล้า แต่ก็ยังใหญ่ไม่เท่าคำว่ามารยาท ฮ่องเต้ต้องรักศักดิ์ศรีมากสุด
เมื่อโอรสเพิ่งมอบเสื้อคลุมให้สาวงาม แล้วบิดาไปพบสาวงามเป็นการส่วนตัว…ถ้าคนในวังรู้เข้า จะให้เดาเป็นอย่างไรได้
เหยาฝูโซ่วก็พอจะเดาได้เช่นกันว่า ฝ่าบาทคิดอะไรในใจ แย่แล้ว ทรงถูกองค์ชายสามแย่งลูกบอลในระยะประชิด โดยเร็วกว่าหนึ่งก้าว จึงกลืนน้ำลาย แล้วพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ
“ฝ่าบาท…ทรงจะยังไปอีกไหม”
หนิงซีฮ่องเต้ถูกฉินอ๋องชิงตัดหน้า จึงแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ แล้วเสด็จกลับทางเดิม เหยาฝูโซ่วจึงรีบเดินตาม
ข้างสวนและภูเขาจำลอง พอซือเหยาอันเห็นคลับคล้ายว่า รองเท้าสีทองหายไปจากหลังภูเขาจำลองแล้ว ก็เป่าปากอย่างโล่งอก
แต่หรุ่ยจือที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเท้าสะเอว
“นี่ ท่านสามบอกให้เจ้าปล่อยข่าวเรื่องเสื้อคลุมให้คนในวังรู้จริงหรือ”
“ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าก็ไม่กล้าอวดดีทำเองโดยพลการหรือ” ซือเหยาอันตอบ
หว่างคิ้วหรุ่ยจือปรากฎร่องรอยตักเตือน “ท่านสามเป็นคนสงบเสงี่ยมเสมอมา ไม่ทำเรื่องที่ทำให้คนนำไปลือได้หรอก เจ้าบอกข้ามาตามตรงดีกว่าว่า วันนี้การมอบเสื้อคลุมให้คุณหนูอวิ๋นต่อหน้าผู้คนมากมาย เป็นการจงใจทำโดยมีการวางแผนมาก่อนใช่หรือไม่”
ซือเหยาอันไม่ได้พูดชัดๆ เพียงยิ้มแล้วว่า “พี่หรุ่ยจือฉลาดมาก”
หรุ่ยจือหน้าตึง เป็นฝีมือเจ้านายจริงๆ ข่าวนี้พอแพร่ออกไป ใครก็อย่าได้คิดเพ้อฝันถึงคุณหนูอวิ๋นอีก และถ้าท่านสามจะฉวยโอกาสจากข่าวนี้ ขอพระราชทานสมรสกับคุณหนูอวิ๋น ก็จะง่ายยิ่งขึ้น เพราะถ้าข่าวแพร่สะพัดไปในวงกว้าง ฝ่าบาทก็ได้แต่ต้องยกคุณหนูอวิ๋นให้กับท่านสามไป
พอซือเหยาอันเห็นหรุ่ยจือไม่พูดไม่จา ก็ล้อนางเล่น
“ท่านสามจะแต่งชายา ก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ แล้วพี่จะมาหน้าดำคร่ำเครียดไปใย ราวกับกลัวลูกชายแต่งลูกสะใภ้แล้วจะลืมแม่อย่างไรอย่างนั้น! ข้ารู้ว่าพี่น่ะ รับใช้ข้างกายท่านสามแต่เล็กจนโตจนชินแล้ว กลัวว่าถ้าจวนเรามีชายาเพิ่มขึ้นมาอีกคน จะมาแย่งงานพี่ทำ พี่อย่ากลัวไปเลย ท่านสามมิใช่คนไร้น้ำใจ ไม่ไล่พี่ไปหรอก ข้ามองว่าคุณหนูอวิ๋นก็ดีนะ ถ้าพี่เคารพนาง นางก็ไม่ทำอะไรพี่หรอก”
หรุ่ยจือส่งเสียงเชอะออกมา “เจ้าพูดจาไร้สาระอะไร ถ้าแต่งเข้ามาจริงๆ นางก็เป็นนายข้าเหมือนกัน ข้าย่อมต้องเคารพนาง ข้าแค่ห่วงสุขภาพของท่านสาม คนอื่นไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง หรือเจ้าลืมอาการป่วยของท่านสามไปแล้ว! ตอนนี้ก็ยังไม่หายดีนะ”
ซือเหยาอันย่อมจำได้ จึงเกาที่หลังศีรษะ “แต่ถ้าทำอะไรแล้วเจอปัญญา ก็ไม่ควรหยุดกลางคันนี่ หมอหลวงเหยากับหมออิงบอกว่า ก่อนอายุยี่สิบห้าให้พยายามอย่าสานสัมพันธ์กับผู้คน แต่…พี่ว่า ฝ่าบาทกับฮองเฮาจะผ่อนปรนให้ท่านสามไร้ซึ่งหญิงสาวข้างกายจนถึงอายุยี่สิบห้าหรือ แต่งแล้ว ค่อยๆ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง บางทีอาจ…” ว่าแล้วก็พูดเสียงต่ำพลางยิ้ม “มีลูกเร็วขึ้นอีกนิด”
หรุ่ยจือไม่พูดมากอีก แต่ดวงตากลับทอประกาย ด้วยนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง
“จริงสิ ท่านสามรู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทจะมาหาคุณหนูอวิ๋น”
ท่านสามจงใจปล่อยข่าวออกไป เพื่อกีดกันผู้คน ซึ่งฝ่าบาทก็พลอยโดนไปด้วย จึงพูดน้ำเสียงสงสัย
“…เหตุใดฝ่าบาทถึง ถึงต้องพบคุณหนูอวิ๋น ฝ่าบาทมาพบคุณหนูอวิ๋นทำไม”
ซือเหยาอันเก็บรอยยิ้มทันที คืนสีหน้าสู่ปกติ เลิกคิ้วหล่อขึ้น “ไม่มีความเห็น”
หลังจากขบวนเสด็จประกาศออกเดินทาง อวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียง ภายใต้การนำของพี่เจิ้ง ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยม ไปขึ้นรถม้าอีกครั้ง
ก่อนขึ้นรถ อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียงร่ำไห้อยู่ไม่ไกลนัก จึงหันมองตาม เห็นรถม้ามีลูกกรงไม้เป็นซี่ๆ ที่ใช้คุมขังนักโทษจอดอยู่คันหนึ่ง ลวี่สุ่ยคุกเข่าอยู่แทบเท้าของอวี้เฉิงกัง ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ที่แท้ เนื่องจากคุณหนูตนมีความผิด ลวี่สุ่ยจึงอยู่ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดที่เห็นเหตุการณ์แล้วไม่แจ้งความ ต้องถูกตีตรวนที่เท้าข้างหนึ่ง ก่อนส่งกลับเมืองหลวง ตอนที่เดินออกมา พอดีเจออวี้เฉิงกัง ย่อมต้องรีบคุกเข่าวิงวอนขอร้องให้ช่วยเหลือ
ตัวอวี้เฉิงกังนั้นเองกำลังมีแผลเหวะหวะ ด้วยเพิ่งถูกฝ่าบาทตำหนิจนสลดหดหู่ เกรงว่ากลับเมืองหลวงไปก็ต้องถูกเล่นงานต่อ ไหนเลยจะแยแสสนใจญาติผู้น้องอีก กลัวก็แต่ตัวเองจะเดือดร้อน ถูกคนสงสัยว่ามีเอี่ยวด้วย จึงผลักลวี่สุ่ยออก แล้วเอ็ดใส่
“คุณหนูเจ้าก่อเรื่องเช่นนี้ เจ้าในฐานะสาวใช้หนีความรับผิดชอบไม่พ้นหรอก! ยังกล้ามาขอร้องข้าอีก หลีกไปให้พ้น! อย่ามาทำข้าเดือดร้อน…” ว่าแล้วก็สลัดลวี่สุ่ยทิ้ง แล้วเดินหนี
ลวี่สุ่ยมองไปรอบๆ เห็นหญิงสาวรูปร่างดีคนหนึ่งยืนอยู่ข้างรถม้าม่านไข่มุกสวยงาม เป็นท่านหญิงหย่งจยา จึงร้องเรียกเสียงดัง “ท่านหญิง!”