ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 113-4 กับดักที่สระน้ำ
แม้ถูกไอร้อนสีขาวบดบังทัศนวิสัยอยู่บ้าง แต่ตนก็พอจะมองเห็นว่า เขาเป็นชายวัยกลางคน มิใช่คนหนุ่ม มีริ้วรอยกระจายรอบดวงตา แต่หน้าตาดูดีมีบารมี ค่อนข้างสง่างาม สวมชุดยาวสีทองปักลายมังกร ฝีเท้าซวนเซเล็กน้อย จ้องมองตนนิ่ง ด้วยสีหน้าแบบคนเมาหลังดื่มสุรา ตาปรือ คล้ายมึนๆ อึนๆ
การแต่งกายเช่นนี้ยังจะเป็นใครไปได้อีก อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ นี่ตนตาฝาดไปหรือเปล่า
สระน้ำในวังไม่แบ่งแยกชายหญิง แต่ทุกมุมล้วนมีคนยืนเฝ้าอยู่ อีกอย่าง ผู้ชายเพียงคนเดียวในวังหลังก็คือฮ่องเต้ และผู้หญิงทุกคนล้วนเป็นคนของฮ่องเต้ จะหลีกหนีหรือไม่ก็แล้วแต่
ตอนเข้าวังเมื่อครั้งก่อน นางไม่เห็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ครั้งนี้พอตามเสด็จมา ก็ไม่ทันได้เห็นสักที นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเห็นในสภาพเช่นนี้!
พี่เจิ้งก็ เมี่ยวเอ๋อร์ก็! ไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่ ถึงได้เกิดความผิดพลาดขนานใหญ่แบบนี้!
ยังมีคนข้างกายฮ่องเต้อีก หรือไม่รู้ว่าต้องมาดูพื้นที่ก่อนล่วงหน้าว่ามีคนไหม แล้วจัดที่จัดทางให้เรียบร้อย?
ไม่สิ ไม่มีทางเป็นอุบัติเหตุแน่
แม้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ความคิดบางอย่างก็วาบเข้ามาในสมองของนาง มีคนจงใจให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จงใจชักนำให้หนิงซีฮ่องเต้มาที่นี่
ถ้าตนช้าไปเพียงครึ่งก้าว เปลือยกายอยู่ในสระน้ำ แล้วเจอกับชายที่เมามายไม่ได้สติ จะเกิดอะไรขึ้น ใครก็คาดเดาไม่ได้ทั้งนั้น! ต่อให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตนจะกลายเป็นอะไรเล่า!
นี่ตนถูกคนวางกับดักหรือ
นางใจเต้นตึกตักขึ้นมา พลางถอยออกอย่างระมัดระวัง
“หม่อมฉันเกือบชนกับฝ่าบาท ด้วยไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมาที่สระน้ำ หม่อมฉันจะไปบัดเดี๋ยวนี้”
บุรุษได้สติ รู้แล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือใคร
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่นางเข้าวังมางานเลี้ยงสังสรรค์ สองครั้งสองคราแล้วที่ตนอยากพบหน้านาง แต่ก็ยังไม่มีวาสนาได้พบ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอนางในสระน้ำร้อน จึงพยายามระงับอาการกึ่มๆ ขณะเอ่ย
“เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นอยากมีปีกแล้วกางบินหนีไปเสียแต่เดี๋ยวนั้น แต่เมื่อโอรสสวรรค์สั่ง ก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นก่อน
เป็นครั้งแรกที่หนิงซีฮ่องเต้ได้พบกับบุตรีคนโตของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ทั้งคิ้ว ดวงตา จมูก เหมือนผู้หญิงคนนั้นมากจริงๆ เพียงแต่แววตาเย็นชาไปหน่อย และมีความระแวงอยู่บ้าง
ทรงรู้ถึงการมีอยู่ของบุตรีบ้านสกุลอวิ๋นมาโดยตลอด
บ้านสกุลอวิ๋นมีบุตรีอยู่สามคน แต่กลับมีบุตรีคนโตเพียงคนเดียว…ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง
แม้ทรงไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน แต่เด็กก็อยู่ในใจพระองค์เสมอมา ทำให้ทรงเตือนตัวเองว่า เด็กคนนี้
เป็นทายาทที่นางเหลืออยู่บนโลกใบนี้ และทรงต้องดูแลเด็กแทนนาง
เมื่อครั้งที่ท่านโหวอาวุโสมู่หรงไปขอดองกับรองเจ้ากรมอวิ๋นด้วยตัวเองทั้งๆ ที่เด็กยังไม่ลืมตาดูโลกนั้น ทรงเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ทรงเดาว่า ถ้านางอยู่ในปรโลกและรับรู้ว่า ลูกสาวสามารถแต่งเข้าจวนโหวเป็นฮูหยินน้อยได้ ย่อมดีใจเป็นแน่แท้ ดังนั้นตอนท่านโหวอาวุโสลังเลใจอยู่ว่าลูกสาวของรองเจ้ากรมอวิ๋น จะคู่ควรกับหลานของตนหรือไม่นั้น ถึงได้ทรงพูดเยินยอไปเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า
“รองเจ้ากรมอวิ๋นมีอนาคตไกล ไม่น่าจะหยุดอยู่แค่ขุนนางชั้นสาม”
ซึ่งทำให้ท่านโหวอาวุโสมู่หรงมองข้ามความแตกต่างระหว่างจวนโหวกับจวนรองเจ้ากรม แล้วตัดสินใจไปขอดองกับสกุลอวิ๋นในที่สุด
ตอนนั้นทรงคิดว่า ชาตินี้แม้ไม่ได้ครอบครองนาง ได้ดูแลลูกสาวลูกชายคู่หนึ่งที่นางหลงเหลือไว้ก็ยังดี!
หรือถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งทรงสวรรคต ก็จะไหว้วานให้ลูกหลานของพระองค์หรือคนรุ่นหลัง รับหน้าที่ดูแลลูกหลานรุ่นหลังของนางแทน ใครกล้ารังแกลูกๆ ทั้งสองของนาง จักต้องชดใช้อย่างสาสม!
แต่การปกป้องเช่นนี้ กลับเป็นการปิดทองหลังพระ และไม่แน่ว่าจะสามารถปกป้องได้อย่างถึงที่สุดในทุกๆ รายละเอียด
ตอนนี้พอมองไป เด็กสาวก็เติบโตแล้ว
และนึกไม่ถึงว่า ยังหน้าตาเหมือนนางมาก…บางมุม ราวกับพิมพ์จากแม่พิมพ์เดียวกันด้วยซ้ำ
หนิงซีฮ่องเต้พึมพำอยู่กับองค์เองสองสามคำ
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหนิงซีฮ่องเต้ยืนมึนๆ งงๆ ก็คิดว่าน่าจะทรงดื่มมากจนเมาไม่ได้สติ
คิดไปคิดมา ก็ได้แต่ตะโกนเรียกคน เพราะถ้ามีใครบังเอิญมาเห็นตนอยู่ด้วยกันกับฮ่องเต้ที่สระน้ำล่ะก็ ต่อให้สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เกรงว่าไม่ถึงพรุ่งนี้ ก็ต้องมีข่าวลือชนิดสุดจะทน ประมาณว่าตนยั่วสวาทโอรสสวรรค์ แพร่ออกไปในกลุ่มขบวนตามเสด็จล่าสัตว์แน่ แล้วตนก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียง
จึงตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ไปยืนอยู่ด้านข้างก่อน
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ จะออกไปเรียกคนให้เข้ามาปรนนิบัติ…”
ไม่เพียงแต่หน้าตา กระทั่งเสียง ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือน ลูกสาวมักเหมือนแม่อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
ฤทธิ์แรงของแอลกอฮอล์ในสุราส้มมือ บวกกับควันจากสระน้ำร้อน รมจนศีรษะของหนิงซีฮ่องเต้ร้อนไปหมด กระตุ้นให้ทรงเมาหนักกว่าเดิม จนก้าวเท้าเซไปเซมา
และพอได้ยินนางบอกว่าจะไป ก็รู้สึกใจแป้ว “อย่าไป อย่าจากเราไป!”
เสียงสะท้อนก้องไปมาในสระรูปดอกบัว มิใช่คำสั่ง แต่เป็นคำขอร้อง
ทำไมต้องไปด้วย การปรากฏตัวของนาง ต้องไปจากชีวิตตนครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้นหรือ
ครั้งแรกที่ปล่อยนางไป เพราะรู้สึกว่าต้องได้พบกับนางอีก ครั้งที่สองที่ปล่อยนางไป เพราะเห็นว่านาง
แต่งเป็นภรรยาผู้อื่นไปแล้ว จึงไม่อยากใช้อำนาจโอรสสวรรค์รบกวนชีวิตนางอีก ครั้งที่สามที่ปล่อยนางไป เพราะ
…จำต้องลาจากนางชั่วนิรันดร!
ครั้งนี้…ยังจะปล่อยนางไปอีกหรือ
ความคิดถึงที่เก็บอยู่ในใจมานานหลายปีหลั่งไหลพรั่งพรู บวกกับความเมา ทำให้ทรงแบ่งแยกภาพมายากับความจริงไม่ออก ยิ่งแยกแยะไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือใคร พอเห็นหญิงสาวกำลังจะเดินผ่านพระองค์ไป ก็ยื่นมือออก ดึงนางไว้ แล้วลากมาอยู่ตรงหน้า ทรงอยากมองดูนางอีกสักครั้ง แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่พอ จึงยกมือที่สั่นเทาเพราะความเมาขึ้น สัมผัสใบหน้านาง หน้าตาแบบนี้ เป็นนาง เป็นนาง!
“สวรรค์เห็นใจเรา! ในที่สุดก็คืนเจ้ากลับมาให้เรา!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเกร็งตัว รู้สึกแต่ว่าทรงก้มศีรษะลงมาที่ข้างหูตน สมองจึงวาบขึ้นทันที ได้แต่ต้องประคองฮ่องเต้ที่ดื่มจนเมามายและพูดจาเพ้อเจ้อไปนอนพักบนตั่งที่ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วรีบไปให้พ้นๆ แต่เพิ่งออกแรงพยุงแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์ไว้ ก็รู้สึกถึงไอร้อนที่พ่นมาข้างหู
ทรงละเมอเพ้อพกอย่างคนเมาต่อ
“…กลับมาแล้ว…ใช่หรือไม่…ชิงเหยา…ครั้งนี้ เราจะไม่ให้เจ้าจากเราไปอีกเป็นอันขาด”
อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง
ชิงเหยา…เมื่อครู่นางได้ยินไม่ชัด แต่คราวนี้ นางรู้แล้วว่าหนิงซีฮ่องเต้กำลังพึมพำอะไร
ชิงเหยา เป็นชิงเหยา
แต่นางยังไม่ทันตั้งสติ ก็มีคนเดินเข้ามา พาผู้ติดตามมาด้วย ผู้ติดตามก้าวเข้ามารับและพยายามประคองหนิงซีฮ่องเต้ที่เมาไม่รู้เรื่องไปนอนบนตั่ง
ส่วนอีกคน ไม่แม้แต่จะหันมามอง พูดขึ้นแค่ว่า “ยังไม่ออกไปอีก”
เป็นเจี่ยงยิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นได้สติ แต่ขืนพูดอะไรมากจะไม่ทันการ จึงรีบก้าวไปยังห้องพักเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง และเป็นจริงดังคาด เจิ้งหวาชิวกับเมี่ยวเอ๋อร์ล้วนไม่อยู่
หรือหนิงซีฮ่องเต้ไม่รู้ว่าด้านในมีคน จึงเข้ามา แต่เป็นไปไม่ได้นี่ว่าทั้งสองจะไม่อยู่พร้อมกัน มีคนจงใจล่อหลอกให้ทั้งสองออกไปแน่!
นางพยายามสงบสติอารมณ์ จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและมวยผมขึ้น
พอเดินออกมา เจี่ยงยิ่นก็ยืนรออยู่ด้านนอกแล้ว โดยมีผู้ติดตามที่คล้ายคนสนิทยืนอยู่ด้านข้าง
ดูจากรูปการ เจี่ยงยิ่นได้จัดการให้หนิงซีฮ่องเต้อยู่ในที่ๆ เหมาะสมแล้ว
สองนายบ่าวมองตากัน ผู้ติดตามรู้ใจยิ่ง เดินเข้าไปในห้องพักทันที
ก่อนเข้าห้อง เจี่ยงยิ่นยังกำชับว่า “เฝ้าดูให้ดี” ผู้ติดตามพยักหน้ารับคำ
พอเดินตามเจี่ยงยิ่นเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นก็เย็นยะเยียบดุจจันทราในหน้าหนาว จ้องจับอยู่แต่เจี่ยงยิ่น
“พระมาตุลาเพคะ ตอนนี้น่าจะเล่าให้ฟังได้แล้วว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”