ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 132-1 การยื้อแย่งระหว่างจวน ไป๋ฮูหยินวางยา
อวิ๋นเสวียนฉั่งเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเหลียนเหนียงจึงขยิบตาให้ตน จึงสนองความต้องการของนาง “เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นให้เหลียนเหนียงเป็นคนรับผิดชอบ นำข่าวไปแจ้งแก่ทุกๆ เรือนแทนข้าแล้วกัน”
ในใจของเหลียนเหนียงกระโดดโลดเต้นดีใจสมดั่งหมาย ถ้าไม่นับว่าเป็นงานศพล่ะก็ คงจะดีใจออกหน้าออกตาซะแล้ว แต่ก็อดกลั้นความสุขไว้ รีบพาม่อไคไหลไปยังหอสกาวจันทร์
ทั้งสองปรี่ตัวไปยังเรือนตะวันตกที่ๆ เหล่าไท่ไท่พักอยู่ก่อนเป็นที่แรก ประจวบเหมาะหวงน้าสี่ อนุฟางและฮุ่ยหลานก็อยู่กันหมด
พอถงฮูหยินได้ยินว่าอวิ๋นหว่านเฟยสิ้นแล้ว รู้สึกตกใจมากกว่าเสียใจเสียอีก นางเป็นคนที่เห็นชายดีกว่าหญิงมาแต่เดิม ต่อมาอวิ๋นหว่านเฟยก็ทำให้ตระกูลอวิ๋นขายหน้า จะมาพูดถึงความเศร้าได้อย่างไร ก็ไม่คิดว่ามันจะกระทันหันขนาดนี้ หวงน้าสี่แอบหยิกต้นขาอยู่ข้างๆ และกัดฟันแน่น “อายุยังน้อย ยังไม่ทันได้ดิบได้ดี ไม่น่าเลย น่าเวทนาเสียจริง”
อนุฟางสะอื้นตามสองสามครั้ง
ถงฮูหยินได้สติขึ้นมา อย่างไรก็เป็นหลานสาวของตัวเอง อย่างไรเสียสุดท้ายก็ต้องจัดการงานศพให้อยู่ดี ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ นี่เป็นเส้นทางที่นางเลือกเอง ตาข้ากระตุกตั้งแต่นางออกจากหอไป ไม่คิดว่ามันจะจบแบบนี้ ไปเป็นอนุภรรยาให้กับคนอื่น น้อยนักที่จะได้ดิบได้ดี ส่วนใหญ่แล้วล้วนมีโชคชะตาที่โชคร้ายทั้งนั้นแหละ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคาดเดาไว้ตั้งแต่ต้นหรือ”
เหลียนเหนียงทำเสแสร้งพูดปลอบใจสองสามคำอยู่ข้างๆ
ถอนหายใจกันอยู่ไม่กี่คน แต่ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด
ม่อไคไหลเห็นว่าผู้หญิงพวกนี้ถ้าไม่ทำแบบข้อไปที ก็แสร้งทำให้เรื่องแบบนี้มันผ่านไปไวๆ อย่างไรคุณหนูก็เป็นลูกสาวคนรองของตระกูลอวิ๋น แต่งออกไปเป็นอนุภรรยาก็ปะไร พอตกตายไปก็ยังไม่ได้เข้าไปบ้านฝ่ายชายอย่างเป็นทางการ ตอนนี้นางก็ตายไปแล้ว จะไปนับอะไรกับบ้านฝ่ายชาย แม้แต่บ้านฝ่ายหญิงเองก็ไม่มีใครรู้สึกสงสารนางจริงๆ หากนางอยู่ที่แดนปรโลกแล้วรับรู้เรื่องพวกนี้ ก็คงตายตาไม่หลับเป็นแน่
ท้ายที่สุด ถงฮูหยินเสแสร้งเสร็จแล้ว จึงคิดถึงเรื่องที่เป็นเรื่องเสียที “เช่นนั้นเรื่องที่คนดูแลของตระกูลมู่หรงมารายงาน ได้พูดหรือไม่ว่าจะจัดการอย่างไรกับงานศพของคุณหนูรอง” นี่เป็นปัญหาของหน้าตาตระกูลอวิ๋น อนุภรรยาไม่สามารถเข้าไปหอบรรพบุรุษหลักได้ ตระกูลอวิ๋นรู้แก่ใจดี แต่ไม่ว่าจะจัดการอย่างสมฐานะหรือจัดแบบเรียบง่าย ความต่างก็ห่างกันอยู่มาก
ม่อไคไหลอ้ำอึ้งอยู่สักพักจึงกล่าวว่า “บ่าวรีบเข้ามารายงาน จึงไม่ได้ถามอะไรมากนัก แต่ฟังที่คนของจวนโหวพูด……”
“เป็นอย่างไรบ้าง” เหลียนเหนียงเห็นถงฮูหยินดูกังวลเล็กน้อย จึงถาม
“ระหว่างทางมา ได้สั่งโลงศพจากร้านขายโลงศพข้างทางและจะส่งไปยังสุสานของเฉิงตงในวันพรุ่งนี้…”
“อะไรนะ” ถงฮูหยินสีหน้าเคร่งเครียด โลงศพที่สั่งอย่างรีบเร่งระหว่างมาแจ้งข่าวเรื่องงานศพมันจะเป็นโลงที่ดีได้อย่างไร ไม่มีการเอาใจใส่ แล้วการเรียกวิญญาณและพิธีกรรมต่างๆ ก็เลี่ยงไปเช่นนั้นหรือ แม้จะเป็นงานศพทั่วไปเหมือนตระกูลอื่นๆ มีเงินเหลืออยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้จัดงานศพแบบลวกๆ แล้วฝังแบบง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คนจอมปลอม แล้วจะเป็นคนอะไรได้! แถมยังเป็นสุสานที่เฉิงตงนั่นอีก…
ม่อไคไหลเห็นใบหน้าสงสัยของเหล่าฮูหยิน ก็กดเสียงพูดแบบไม่ลงละเอียดเจาะลึก “…สุสานเฉิงตงเป็นหลุมฝังแบบมั่วๆ ส่วนใหญ่จะฝังพวกทาสอัปยศ มีอนุของตระกูลร่ำรวยบางตระกูลตายไป ก็ส่งไปฝังที่นั่นเช่นกัน”
ไร้เหตุผลสิ้นดี! ถงฮูหยินทุบโต๊ะ คิ้วขมวดเป็นแนวตั้ง “จะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร! ต้องไปเจรจากับจวนโหวเสียหน่อย! ” เหล่าเอ้อร์ในตอนนี้มีตำแหน่งเป็นเจ้ากรม แต่ลูกสาวของเขาที่ไปเป็นอนุภรรยากลับถูกฝังแบบขอไปที จวนโหวไม่สนใจคำครหา แต่ตระกูลอวิ๋นกลับไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
หวงน้าสี่และเหลียนเหนียงเห็นเหล่าไท่ไท่หน้าแดงด้วยความโกรธ เหลียนเหนียงกล่าวแก่เหล่าฮูหยิน “คนของจวนกุยเต๋อโหวเป็นพวกลวงหลอก ไร้ยางอาย แต่พวกเราตระกูลอวิ๋นจะไม่ทำแบบนั้นแน่ ฮูหยินวางใจได้ ถึงเวลานั้นพวกเราต้องแย่งชิงกับจวนโหวเสียหน่อย งานศพของคุณหนูรองจะต้องไม่เหมือนกับพวกทาสเด็ดขาด” ถงฮูหยินได้ยินก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ
พออนุฟางได้ฟังเรื่องนี้ นังจิ้งจอกนี้ทำมาเป็นเอาเรื่องงานศพของคุณหนูรองมาเป็นธุระของตัวเอง ความหึงหวงพุ่งสุงเฉียดฟ้าแต่กลับทำได้แค่หัวเราะในลำคอทีเดียว
เมื่อรายงานที่เรือนตะวันตกเสร็จสิ้น เหลียนเหนียงพาม่อไคไหลไปยังเรือนหยิงฝู
ห้องส่วนตัวภายในเรือน พอชูซย่าได้ยินข่าวการตายกระทันหันของอวิ๋นหว่านเฟย ชำเลืองมองไปยังคุณหนูใหญ่ที่กำลังทดลองอะไรใหม่ๆอยู่ตรงโต๊ะยาว ชูซย่าคาดไว้ไม่ผิด ฮว่าซั่นนั่นมันอํามหิต เกลียดอวิ๋นหว่านเฟยเข้ากระดูก ดูแลคนได้เพียงไม่กี่วัน คนก็ตายเสียแล้ว
หลอดทดลองบางๆ ใสๆ ที่อยู่ในมืออวิ๋นหว่านชิ่นยังคงเขย่าอยู่ ใบหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ริมฝีปากสีอ่อน คำพูดลอยผ่านม่านลูกปัด
“ที่จวนโหวนั่น บอกว่าสภาพของน้องรองเป็นอย่างไรบ้าง”
นอกม่าน เหลียนเหนียงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นไม่เพียงไม่เรียกตนเข้าไป แถมยังขมวดคิ้ว ต้องมีอะไรไม่สบายใจแน่ น้ำเสียงกลับถ่อมตัว “คนที่จวนโหวส่งมากล่าวว่า ไม่กี่วันนี้เป็นฮว่าซั่นคนใกล้ตัวของคุณหนูรองเข้าไปส่งอาหารให้ ตามที่ฮว่าซั่นพูด คุณหนูรองไม่รู้ว่ามีใบหน้ามีรอยขีดข่วนได้อย่างไร เอาแต่ซึมเศร้าและหดหู่ตลอด นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกิดกับคุณหนูรองอีก สภาพจิตใจยิ่งอ่อนแอ ตอนที่ไปส่งข้าววันนี้ ก็พบว่า…คุณหนูรองใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเรียบร้อยนอนตายอยู่บนเตียง ปิ่นสีทองที่เป็นของหมั้นก็หายไป ไม่รู้ว่ากลืนทองลงไปหรือเปล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่น “อือ” คำเดียว ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก็หันกลับ สายตาจ้องมองไปยังเงาที่อยู่นอกม่านลูกปัด “เรื่องนี้อนุเอ้อร์รับผิดชอบอยู่หรือ”
เหลียนเหนียงกล่าว “ใช่แล้ว นายท่านเศร้าโศกอาดูรที่สูญเสียบุตาสาว จึงให้อนุภรรยาคนนี้รับผิดชอบเรื่องการแจ้งข่าวและจัดการดูแล”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “อ้อ” อยู่หลังม่าน หันหน้ามาเล็กน้อย ไม่แสดงสีหน้าออกมากนัก และใช้น้ำเสียงที่หนักขึ้นพูดออกมาอย่างหนักแน่น “เช่นนั้นอนุเอ้อร์อย่าลืมว่าต้องแจ้งให้กับฮูหยินที่เรือนนั้นทราบด้วย เพราะอย่างไรเอ้อร์เม่ยก็เป็นลูกสาวของนาง ไม่ว่าตอนนี้ฮูหยินจะเป็นอย่างไร ก็ต้องทำให้มันถูกตามจริยธรรม จะละเลยไม่ได้”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” เหลียนเหนียงมองคนที่กำลังสอนตนอยู่ ทำปากเบะในมุมมืด หัวเราะเบาๆ นี่ยังต้องให้เจ้ามาอธิบายอีกหรือ ในตระกูลอวิ๋นที่อยู่เรือนหลังมีแค่เจ้าหรือไรที่ดูแลเรื่องในตระกูลได้ดีที่สุด
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นอนุเอ้อร์ก็ไปเถอะ”
เหลียนเหนียงดีใจอย่างเงียบๆ สะบัดก้น พาม่อไคไหลออกไป
ผ่านหน้าต่างแกะสลักที่เปิดอยู่ ชูซย่ามองเห็นเหลียนเหนียงเดินไปทางหอบรรพบุรุษและเดินไปด้านหลัง พลางส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว
*
ภายในห้องที่อยู่หลังหอบรรพบุรุษ
เหลียนเหนียงเข้าไปไม่นาน ก็มีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากประตู
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นเหลียนเหนียงไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งมา กำลังเกิดความสงสัย ไม่คาดคิดว่าจะมาเพื่อส่งข่าวร้าย
“คุณหนูรองสิ้นแล้ววันนี้” เพียงไม่กี่คำ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าจังๆ นางตกตะลึง โลกทั้งใบกำลังพังทลาย ซวนเซเกือบล้มลงแต่โชคดีที่จับโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ไว้ได้ทัน อาเถาที่อยู่ข้างๆก็ร้องโฮออกมา ประคองนายหญิงไว้ได้ทัน “ฮูหยิน คุณหนูรองเป็นคนดี ทำไมถึง ถึงตกตายไปได้——”
“ข้อขอแสดงความเสียใจด้วย แต่อย่าทนทุกข์ไปเลย ฮูหยิน” เหลียนเหนียงสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า จึงให้กำลังใจอย่างไร้อารมณ์ไปสองประโยค และเล่าสาเหตุของการตายให้ฟังอีกรอบหนึ่ง
“ทำไมบนหน้าของเฟยเอ๋อร์มีรอยขีดข่วน ใครเป็นคนทำ” ไป๋ฮูหยินปวดเอว ครึ่งค่อนวันก็ยังยืดตัวตรงไม่ได้ แถมยังถูกสิ่งที่ไม่คาดคิดทำให้จิตใจกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง หอบเหนื่อย เมื่อได้ยินสาเหตุของการเสียชีวิต เพ่งมองตรงไปยังเหลียนเหนียง ความตั้งใจจบลงทันที “เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง อวิ๋นหว่านเฟยไม่ฆ่าตัวตายแน่ๆ นางเป็นเด็กเอาแต่ใจตั้งแต่เล็ก กลัวความเจ็บปวดที่สุด แม้แต่ยาขมๆ ก็ยังทนไม่ได้ จะเอาความกล้าจากไหนไปทำร้ายตัวเองล่ะ! ถ้านางเจอทางตัน นางจะหาวิธีแก้และก็กลับมาระบาย จะไปฆ่าตัวตายโดยไร้เหตุผลได้อย่างไรกัน ——ไม่มีทาง เจ้าอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”
จ้องมองข้าไปจะมีประโยชน์อันใด เหลียนเหนียงทั้งขันทั้งฉุน ลูกสาวของเจ้าถูกส่งไปเป็นอนุอยู่ข้างในนั้น อยู่ที่นั่นก็ไม่ต่างจากตาย ตายไปน่าจะดีกว่าเสียอีก เห็นสีหน้าของไป๋ฮูหยินดูเย็นซีดเหมือนผี แม้ว่าน้ำเสียงยังคงอ่อนโยนแต่ก็เย็นชา “ฮูหยิน คุณหนูรองเป็นลูกสาวตระกูลขุนนางแท้ แต่ถูกบ้านสามีทิ้งไปให้เป็นนางบำเรอนอกจวน ไม่สนใจไม่แยแส นอกจากอาหารสามมื้อต่อวัน อะไรก็ไม่ให้ทั้งนั้น ใครจะทนสภาพแบบนี้ไหว จบด้วยการฆ่าตัวตายไปก็ไม่แปลก สำหรับรอยข่วนบนใบหน้า จวนโหวนั้นก็ยังไม่มีการแจ้งออกมาชัดเจน แต่ว่าฮูหยินเป็นถึงอนุภรรยาอย่างเป็นทางการ ก็น่าจะรู้ว่า หลังเรือนหลังใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีความลับได้อย่างไรกัน คุณหนูรองไม่เป็นที่ชื่นชอบ จะถูกทาสและสาวใช้รังแกจนย่ำแย่ก็ไม่แปลก เมื่อเป็นเช่นนี้ หากนางจะคิดไม่ตก คิดสั้นขึ้นมาก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง บีบกำปั้นไว้แน่น เต็มไปด้วยความโกรธ เจ็บปวดไปทุกอณู ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตามเรื่องนี้กับจวนโหวได้แล้ว ตระกูลอวิ๋นก็คงไม่สนใจมาก นางถูกกำหนดให้ตายอย่างไม่ชัดเจน ไม่สามารถขจัดข้อข้องใจนี้ไปได้!