ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 132-3 การยื้อแย่งระหว่างจวน ไป๋ฮูหยินวางยา
วันที่ได้รับหน้าที่ เหลียนเหนียงเลือกคนรับใช้ที่ตัวสูงใหญ่และมีพละกำลังไปสองสามคน รีบไปรับศพของอวิ๋นหว่านเฟยที่อยู่นอกบ้าน เอาศพไปดูแลก่อน เพื่อเลี่ยงไม่ให้จวนโหวแย่งเอาไปฝังมั่วๆ ก่อนได้ แล้วเรียกให้ม่อไคไหลรีบไปส่งข่าวให้กับจวนโหว ว่านายท่าอย่างไรก็เป็นขุนนางในราชสำนัก มีหน้ามีตา แม้ลูกสาวเป็นน้ำสาดออกไปแล้ว เรื่องความเป็นความตายเดิมทีแล้วไม่ควรเป็นฝ่ายบิดาที่มาจัดการ แต่เป็นบ้านสามีที่ต้องรับหน้าที่จัดการ ตระกูลอวิ๋นรับไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีส่วนร่วม จวนโหวต้องจัดงานศพให้ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้นฝังไม่ได้
แม้จวนกุยเต๋อโหววันนี้จะมีเรื่องเข้าๆ ออกๆ เจ้านายหลายคนก็กำลังยุ่งวุ่นกับเรื่องของมู่หรงไท่ แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ท่านโหวอาวุโสมู่หรงได้ยินมาจากตระกูลอวิ๋น “งานศพที่ยิ่งใหญ่” ห้าคำนี้ จึงขำเยาะเย้ย ในตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ คนตายไปแล้วยังต้องจัดงานยิ่งใหญ่ให้อีกหรือ ฝันไปเถอะ แม้ว่าจะไม่ได้เกลียดอวิ๋นหว่านเฟยนั่นก็ตาม แต่นางบำเรอเล็กๆ คนเดียว ยังต้องจัดงานโอ่อ่า แม้แต่หลานชายของเขา มู่หรงไท่ยังไม่ค่อยสนใจ แล้วจะสนใจอนุของเขาได้อย่างไร
ม่อไคไหลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หันหลังกลับไป นำเรื่องที่จวนโหวพูดรายงานให้เหลียนเหนียงฟัง อดไม่ได้ที่จะเตือนสติ “อนุเอ้อร์ จะไม่ลดเงื่อนไขลงเสียหน่อยหรือ…”
เหลียนเหนียงอยากที่จะทำงานให้ลุล่วง สิ่งนี้ที่ทำไปก็เพื่อศักดิ์ศรี ได้รับความดีความชอบ ให้นายท่านชมเชยเล็กๆ น้อยๆ หน้าที่การจัดการในจวนหลังจากนี้ ก็จะมาอย่างต่อเนื่อง นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร เรียกให้คนใช้ทำการดูแลศพของอวิ๋นหว่านเฟยที่อยู่นอกบ้านให้ดีๆ แล้วเรียกให้ม่อไคไหลไปทจวนโหวทุกวันๆ น้ำหยดลงหินทุกวัน หินย่อมกร่อน
ม่อไคไหลเหงื่อตก ใครให้นายท่านมอบเรื่องนี้ให้กับอนุเอ้อร์เล่า เขาจึงทำได้เพียงทำตามหน้าที่วิ่งไปจวนโหววันละครั้ง เพื่อพูดห้พวกเขาใจอ่อนลง
ท่านโหวอาวุโสมู่หรงยังคงเงียบเหมือนเดิม ก็ให้ศพอยู่แบบนั้น ปล่อยให้คนดูแลบ้านของตระกูลอวิ๋นเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ฝังก็ไม่ต้องฝัง
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ศพของอวิ๋นหว่านเฟยบอบช้ำจากการอยู่ด้านนอก ไม่ได้ฝังสักที ไม่ได้อยู่ในดินอย่างสงบได้
โชคดีที่เป็นปลายปี ฤดูหนาวพอดี ร่างกายเน่าเปื่อยช้า แต่น่าจะทนได้อีกไม่นาน ห้องค่อนข้างเล็ก อากาศไม่ถ่ายเท ทำให้กลิ่นเหม็นโชยออกไปด้านนอก พอหนักขึ้นๆ คนใช้ที่เฝ้าช่วงเที่ยงของวันทนไม่ไหวแล้ว เอาศพของอวิ๋นหว่านเฟยย้ายออกมาวางไว้ที่มุมของเรือน ตากแดดตากฝน ยุงกัด อย่างไรก็ได้ให้กลิ่นกระจายออกไปหน่อย ให้มันเบาบางลง
ตอนม่อไคไหลออกไปจวนโหววันนั้น บังเอิญไปเห็นพอดี เลยเข้าไปดูใกล้ๆ เสียหน่อย เหม็นจนเกือบจะอาเจียน เปิดผ้าขาวออกมาดู พะอืดพะอมขึ้นมา อาหารเช้าที่กินมาทั้งหมดพุ่งออกจากปากทันที
ศพบวมตึงเหมือนกับยักษ์ ใบหน้าเป็นสีม่วง น่าสะพรึงกลัว ลูกตาหลุดออกมา ข้อมือและลำคอเปลือยเปล่า เนื้อหนังเริ่มลอกออกทีละชั้นๆ เผยให้เห็นกระดูกขาวที่ปกคลุมอยู่ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ศพมันดึงดูดแมลงวันมามากมาย พวกมันจับกลุ่มกันอย่างแน่นหนาแล้วแทะเนื้อจากด้านบนทีละนิดๆ!
ตอนที่คุณหนูรองมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นคนงดงาม แต่วันนี้เมื่อตายไปแล้วก็ยังไม่สามารถตายอย่างสงบได้ ไม่เพียงแค่ไม่ได้ฝัง แถมยังถูกหนอน แมลงแทะกินอีกต่างหาก
ม่อไคไหลตกใจมากที่เห็นเช่นนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ขอให้ดูแลศพให้ดีๆ อย่าให้จวนโหวย้ายหนี แล้วเขาก็กลับไปยังจวนอวิ๋น
ทางเหลียนเหนียงก็ส่งคนที่ดูแลเรื่องนี้ไปจัดการกับจวนกุยเต๋อโหว ไม่เร็วไม่ช้าก็จะดีขึ้น แถมยังไปหาไป๋ฮูหยินที่หลังหอบรรพบุรุษทุกวัน เล่าถึงสถานการณ์ สบถเบาๆ เป็นครั้งคราวว่าจวนโหวแล้งน้ำใจเกินไป
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินว่าศพของลูกสาวยังคงไว้อยู่ในบ้านด้านนอกนั่น เพียงเพราะว่าทั้งสองจวนนั้นยังไม่ลงรอยกัน หายใจสูดอากาศเย็นๆ เหมือนสูดคมมีดเข้าไป ความเกลียดชังที่มีต่อเหลียนเหนียงก็ยิ่งมีมากขึ้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการใช้ร่างลูกสาวของนางเป็นแท่นรองให้นางเดินขึ้นสูงขึ้นได้อีกขึ้น ดูผิวเผินเหมือนกำลังต่อสู้ให้กับผลประโยชน์ของอวิ๋นหว่านเฟย ถ้าลองเป็นลูกสาวของนางเอง จะกล้าทำแบบนี้บ้างหรือเปล่า!
ไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่าตอนนี้หน้าตาของลูกสาวของนางจะเป็นอย่างไร เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางแท้ๆ กลับตกเป็นนางบำเรอ ถูกทิ้งขว้างอยู่นอกจวน ตายอย่างไม่ยุติธรรม แม้จะลืมมันไปให้หมด ตอนนี้——ศพก็ยังไม่ได้กลบฝัง แม้แต่ศักดิศรีก็ยังคงถูกเหยียบย่ำ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับสู่ดินเสียที!
เก็บกลั้นความไม่พอใจไว้ ทุกครั้งที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฟังเหลียนเหนียงเล่าให้ฟัง น้ำตาก็ไหลออกมานองหน้า “ขอบคุณน้องเหลียนเหนียงมากที่ช่วยเป็นธุระให้” จากนั้นก็เรียกอาเถามารินชาให้อนุเอ้อร์ดับกระหาย
น้ำชานี้เป็นใบชาหยาบที่หาได้จากห้องครัว
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเตือนอาเถา บอกว่าอนุเอ้อร์จะมาที่นี่บ่อยๆ ให้เตรียมชาเอาไว้ด้วย คนครัวรู้ว่าอนุเอ้อร์ชอบแบบไหน อย่าได้ละเลย อาเถาก็ทำตามคำสั่งของเจ้านาย ให้คนดื่มชาที่รสชาติที่เข้มข้นที่สุดและสีเข้มที่สุดเพื่อให้ง่ายต่อการระงับรสชาติและสีของยาจีน
ทุกครั้งก่อนที่เหลียนเหนียงจะมา ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะไปจัดการต้มชาให้ก่อน รินใส่ในถ้วยเล็กๆ ภายในเติมน้ำแกงเชียนจินไว้สองช้อนโต๊ะ หลังจากคนสักพักก้อนน้ำแกงจะค่อยๆ เล็กลงและละลายไป ชาร้อนๆ พร้อมแกงที่ละลายลงไป รินใส่ในถ้วยหนาๆ พร้อมดื่ม
โชคดีที่กลิ่นของผงน้ำแกงเชียนจินค่อนข้างเบาบาง ถ้าไม่ดมดีๆ ก็ไม่ได้กลิ่นผิดปกติ ด้วยชาที่มีกลิ่นเข้มข้นจากการผสมเอง เหลียนเหนียงน่าจะไม่สงสัยอะไร
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่รู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นยังเพิ่มสมุนไพรบางอย่างในน้ำแกงเชียนจิน เพื่อระงับกลิ่นที่รุนแรง คนทั่วๆ ไปจะไม่ได้กลิ่นนี้
เหลียนเหนียงดื่มต่อเนื่องไปแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่เหลือไว้เลยสักนิด
ยัยเด็กนั่นเคยบอกว่า ถ้าดื่มน้ำแกงเข้มขนเข้าไป เพียงแค่ครึ่งกล่องก็สามารถทำลายความสามารถในการตั้งครรภ์ไปได้ ตอนนี้นางก็ใส่ลงไปในชา แม้จะไม่ถึงครึ่งกล่อง แต่ถ้านางดื่มจนหมดกล่อง จะต้องไปได้สวยแน่
พอคิดเช่นนี้ ความเจ็บปวดของไป๋เสวี่ยฮุ่ยเรื่องศพของบุตรสาวก็บรรเทาลงมาก แต่ละครั้งที่ได้มองเห็นเหลียนเหนียงจิบชาที่เข้มข้นนั่นลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อไหลลงไปในท้องของนาง ก็เหมือนกับตนเองได้กินยาครอบจักรวาลเพื่อการฟื้นฟู รูขุมขนทั่วร่างก็ผ่อนคลายลง
ทางอวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้ยินเรื่องของอวิ๋นหว่านเฟยที่พ่อบ้านม่อเล่า เพียงแค่ได้ฟังรายละเอียดก็รู้ว่าในตอนนี้อวิ๋นหว่านเฟยเป็นอย่างไรบ้าง ชูซย่าตัวเย็นวูบวาบ
การต่อสู้ยื้อแย่งในครั้งนี้ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร อยู่ที่ว่าใครจะรั้งไว้ไม่ไหวก่อนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน
แต่ตามอารมณ์ของท่านโหวอาวุโสมู่หรงนั้น บวกกับการเอาจริงเอาจังของเหลียนเหนียง อาจทิ้งให้อวิ๋นหว่านเฟยเหลือแต่กระดูกขาวค่อยฝังลงดินก็อาจจะเป็นไปได้
*
แสงไฟริบหรี่ เข้าสู่กลางฤดูหนาวแล้ว ใบไม้แห้งตาย อากาศจะหนาวเย็นลงเรื่อยๆ วันแต่งงานที่มงคลก็มาถึงในชั่วพริบตา
ไม่กี่วันก่อนที่คุณหนูใหญ่จะออกเรือน ม่อไคไหลเริ่มสั่งให้ผู้คนจุดไฟประดับในจวน เตรียมของหมั้นทุกอย่างที่ท่านอ๋องนำมาให้เจ้าสาวในวันสู่ขอ จัดวางไว้ตามตำแหน่งมงคลต่างๆ
ฤกษ์ดีกำลังใกล้เข้ามา ชูซย่าตื่นเต้นยิ่งกว่าอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ก็สงสัยอะไรบางอย่าง ตั้งแต่เกิดเหตุนอกบ้านในวันนั้น ฉินอ๋องก็ไม่ได้มาหาคุณหนูจวนตนเองอีกเลย ได้แต่เห็นซือเหยาอันออกมาขี่รถม้าในบางครั้ง ใส่เสื้อผ้าสบายๆ เดินไปรอบๆ อยู่นอกจวนอวิ๋นเหมือนเดิม
วันนี้ชูซย่าถือโอกาสออกไปข้างนอก แอบลากซือเหยาอันมาถามเสียหน่อย พอได้ยินแล้วก็รีบไปบอกอวิ๋นหว่านชิ่นที่จวน
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะรู้ว่า หลังจากที่กลับจากสวนท้อในวันนั้น เขาก็เอาแต่นอนอยู่จวน ป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนตอนที่อาการ่ปวยกำเริบในแต่ละเดือน ส่วนใหญ่จะปิดตำหนักมากที่สุดห้าถึงหกวันเพื่อพักฟื้น แต่ครานี้ อาการหนักขึ้นและยังไม่ดีขึ้นเลย ชูซย่าเห็นสีหน้าของหญิงสาวค้างตกตะลึง จึงรีบพูดว่า
“ไต้เท้าซือบอกว่า ไม่กี่วันมานี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร พร้อมบอกด้วยความยินดีว่าไม่เป็นอะไร ตามนิสัยของฉินอ๋อง เดี๋ยวก็คงดีขึ้นมาแล้วล่ะ คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าซือเหยาอันล้อเล่นเพื่อปลอบใจตัวเอง แต่ก็กลั้นขำไม่ได้
หลายวันมานี้ นางก็เอาแต่ยุ่งกับการดูสองฝ่ายต่อสู้แย่งชิงกัน คอยมองดูการเปลี่ยนแปลงที่ละนิดๆ ของน้ำแกงเชียนจินของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ในบางครั้งก็กลับมาคิดถึงมู่หรงไท่กับเรื่องของชีวิตในภพชาติก่อนนั้น ลองนึกย้อนกลับไปดูแล้วก็ยังคงรู้สึกเหมือนฝัน
ตอนนี้แม้ว่าเขาก็ใกล้จะเหมือนกับสุนัขที่ใกล้ตกน้ำ มองไม่เห็นอนาคต แต่ว่า ถ้าเขามาพร้อมกับความทรงจำในอดีตชาติจริงๆ นางก็มีความสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง
ในชาติก่อน นางตายไวกว่ามู่หรงไท่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง แต่หากมู่หรงไท่อายุยืนขึ้นอีกหน่อย บางทีเขาอาจจะรู้ได้
สิ่งที่นางอยากรู้ไม่ใช่สิ่งน่าสมเพชของมู่หรงไท่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทว่าคนถ่อยๆ นี้อาจจะรู้ว่าโรคของเจาจงในชาติก่อนท้ายที่สุดดีแล้วหายดีหรือไม่ หากหายดีแล้ว หายดีตอนไหน