ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 133-2 อวิ๋นซานขอบุตร กับ นางซิงซื่อช่วยหลาน
ครั้นหาจนครบแล้ว อวิ๋นหว่านถงก็ใช้ของเหล่านี้กับเว่ยอ๋องโดยไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว แสงแดดยามเช้าส่องแสงสว่างไสว เมื่อเว่ยอ๋องตื่นนอน ก็กระทำการเช่นนั้นอีกครั้งด้วยความมึนงง เว่ยอ๋องโกรธเคืองนางมากถึงขั้นคิดที่จะบีบคอนางให้ตาย ซึ่งมิใช่ว่าจะไม่เคยฆ่าเช่อเฟยของตนมาก่อน ทว่า ยังดีที่ยวนยางและขุนนางประจำจวนอ๋องได้ห้ามไว้ทัน เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันเอง นี่มิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตนหรือ เว่ยอ๋องจึงยอมอดทนฝืนกลั้นเอาไว้ โดยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มาเหยียบที่นี่อีก
เมื่ออวิ๋นหว่านถงเห็นว่าเว่ยอ๋องเดินจากไปแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก และไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือไม่หลังจากผ่านครั้งนี้ไป คงจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว ทุกวันนี้นางเริ่มสวดมนต์ขอพรกับพระโพธิสัตว์ ครั้งต่อไปหากยังมีโอกาสได้นอนในห้องเดียวกันกับเว่ยอ๋องอีกครั้ง ก็เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสร่างกายของเขาอีกแน่ ดังนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจึงต้องสำเร็จภายในคราเดียว
ทางด้านสมเด็จแม่และท่านน้าก็ปรับความเข้าใจกันแล้ว ขณะที่ เว่ยอ๋องก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย กว่าจะใช้ให้ขุนนางประจำจวนอ๋องติดสินบนขุนนางประจำสำนักพระราชวังที่มาเฝ้าเวรยามในจวนอ๋องสำเร็จ เพื่อส่งสาส์นถึงท่านน้าแห่งสกุลเหวย เหวยเซ่าฮุยน้าชายของเว่ยอ๋องเป็นพี่ชายจากภรรยาเอกของมเหสีรองเหวย โดยพึ่งพาน้องสาวจากอนุภรรยาที่เข้าสู่รั่วราชวงศ์จนกลายเป็นมเหสีแห่งวังหลังและเป็นรองเพียงฮ่องเฮาเท่านั้น โดยได้รับตำแหน่งจากผู้นำท้องถิ่นกระโดดข้ามขั้นเป็นขุนนางคนสำคัญแห่งนครบาล ปัจจุบันรับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายซ้าย เป็นสมาชิกของคณะเสนาบดี และได้รับรางวัลเกียรติยศเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง อีกทั้ง บุตรชายทั้งหลายก็ต่างดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นกัน โดยบุตรชายคนโตเป็นผู้ว่าการมณฑลทางตอนใต้อยู่หลายแห่งและเป็นแม่ทัพเดชฮึกเหิม ซึ่งถือว่าเป็นขุนศึกแห่งดินแดนแถบเจียงหนาน บัดนี้ เหวยเซ่าฮุยเป็นผู้นำของกลุ่มทรงอิทธิพลแห่งสกุลเหวย และเป็นพรรคพวกที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหนิงซีฮ่องเต้ เมื่อได้ฟังสาส์นจากองค์ชายห้า จึงรีบส่งสาส์นนี้ต่อไปยังมเหสีรองเหวย
เมื่อมเหสีรองเหวยฟังความที่ส่งมา ปรากฏว่าแท้จริงแล้วงานเลี้ยงเสียเล่อในวันนั้น ท่านชายซุนจากเรือนรองแห่งจวนกุยเต๋อโหวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย จึงยิ้มหยันและในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วันต่อมา ได้สอบสวน ณ ท้องพระโรงด้วยตัวเอง เมื่อขุนนางแห่งกรมอาญาเสนอคำสารภาพของซุนจวิ้นอ๋อง มเหสีรองเหวยก็เสด็จมาถึงและถามไถ่เรื่องนี้ด้วยตัวเอง บอกว่าเว่ยอ๋องถูกมู่หรงไท่ยุยงปั่นหัว โดยมู่หรงไท่ต้องการโจมตีฉินอ๋อง จึงยืมมือของเว่ยอ๋องลงมือแทน แม้แต่สาเหตุยังเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างดีเยี่ยม ทำให้ไม่สามารถจับผิดได้ เพราะเดิมที่ชายาที่ถูกกำหนดไว้ของมู่หรงไท่คือบุตรีคนโตจากภรรยาเอกแห่งสกุลอวิ๋น แต่กลับจะแต่งงานกับองค์ชายสามแทน คงจะสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วว่าองค์ชายสามสนใจคู่หมั้นของตน จึงเกิดความริษยาขึ้น ลูกหลานขุนนางจะล้มโอรสของฮ่องเต้ได้ง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร ฉะนั้น มู่หรงไท่จึงใช้ประโยชน์จากการเข้าวังเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเสียเล่อ โดยวางแผนให้ฉินอ๋องได้รับผิดโทษฐานอกตัญญูและไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ ซึ่งเว่ยอ๋องไม่รู้เรื่องรู้ความด้วย ถูกมู่หรงไท่ชักไยอยู่เบื้องหลัง และกลายเป็นเป้าให้แก่มู่หรงไท่ เป็นถึงท่านชายแห่งจวนโหว จะกล้าหาญโองหังเกินไปเสียแล้ว ปั่นหัวบุคคลชั้นสูงหลายท่าน ใส่ร้ายป้ายสีฉินอ๋องและเกือบจะทำให้ไทเฮาต้องล้มป่วย รวมถึงทำให้ผู้บริสุทธิ์อย่างเว่ยอ๋องต้องกลายเป็นผู้อธรรมอย่างไม่ยุติธรรม
มเหสีรองเหวยพูดเก่งเป็นน้ำไหลไฟดับ ถึงอกถึงใจ และเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ไม่พอ นางอาศัยว่าอยู่ในวังหลวงมาหลายปี มิใช่จะอยู่ไปวันๆ การแสดงออกทั้งเสียงและอารมณ์ทำได้ยอดเยี่ยมมาก และนำขันทีที่พบกับเว่ยอ๋องในงานเลี้ยงเสียเล่อวันนั้นมาเป็นพยาน ทำให้ไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้เลย
เว่ยอ๋องซื่อยวนถูกขุนนางชุดเหลืองส่งตัวเข้าวัง แน่นอนว่าเตรียมข้อแก้ตัวไว้เรียบร้อยแล้ว พอมาถึงก็ร้องไห้อย่างขมขื่นและผลักข้อหาทั้งหมดให้แก่มู่หรงไท่ พร้อมกับตบหูของตนอย่างแรง จากนั้นก็คร่ำครวญว่าแม้ตนจะไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย แต่ก็ไม่ควรหูเบาเชื่อคำพูดยุยงของมู่หรงไท่ และทำให้เขามีโอกาสเช่นนี้
ครานี้ลักษณะของรูปคดีก็ได้เปลี่ยนไปอีกแล้ว
หนิงซีฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและสั่งคนให้ไปเอาตัวมู่หรงไท่มา มเหสีรองเหวยยิ้มปรีดาอยู่ในใจ และถอยหลังกลับไปที่ด้านหลังของฮ่องเต้ตรงด้านในของม่านลูกปัดพร้อมกับสาวใช้หยินเอ๋อร์โดยไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ มีชายหนุ่มมู่หรงไท่มารับโทษแทนเช่นนี้ ทำให้ปัดความรับผิดชอบของเว่ยอ๋องไปได้บ้างแล้ว
ทว่า กลับบอกว่าวันนี้มู่หรงไท่อยู่ในลานกว้างทางตะวันตกเฉียงเหนือที่มืดมิดและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อแสงสว่างส่องเข้ามา ประตูก็เปิดออก โดยคิดว่าท่านปู่จะมีเมตตาและปล่อยเขาออกไปในที่สุดหรือท่านย่าซิงซื่อสามารถเกลี้ยกล่อมท่านปู่ได้แล้ว บัดนี้ ความเจ็บปวดจึงบรรเทาลงครึ่งหนึ่ง แต่กลับมองเห็นชายชราเป็นง่อยขาเป๋ที่ดูแลตนในช่วงนี้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ “ท่านชาย มีขุนนางชุดเหลืองมาที่จวนขอรับ บอกว่า บอกว่าจะมารับท่านเข้าวัง เหมือนว่าจะมาเพราะเรื่อง…เรื่องสุราดอกท้อและท่านยุยงเว่ยอ๋องอะไรนี่แหละขอรับ…”
มู่หรงไท่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจความหมายดังกล่าวทันที ต้องการให้ตนรับผิดแทนล่ะสิ เขาอดกลั้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงบริเวณช่องท้องและความรู้สึกไม่สบายไปทั่วร่างกาย แล้วเตะเก้าอี้ลอยขึ้นสูงด้วยความโมโหอย่างสุดขีด “มารดามันสิ…”
ณ ลานกว้างหลัก เมื่อท่านโหวอาวุโสมู่หรงเห็นขุนนางชุดหลืองถือป้ายอาญาสิทธิ์ไว้และมาพร้อมกับทหารรักษาพระองค์หลายนายถึงกับตกใจ นางซิงซื่อที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังดื่มน้ำชาอยู่ มือก็สั่นทันทีและถ้วยน้ำชาก็หล่นลงสู่พื้นแตกดัง เพลี้ยง! หลานชายล่วงเกินเทวดาองค์ไหนกัน นับตั้งแต่งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของจวนโหวครั้งนั้นเป็นต้น ก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น
เมื่อทั้งสองได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ท่านอาวุโสโหวก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟเช่นกัน แล้วกล่าวแสดงความเคารพว่า “ท่านทั้งหลายเข้าไปนำตัวไปเถิด หลานอกตัญญูถูกขังอยู่ภายในเรือนของลานกว้างทางตะวันตกเฉียงเหนือ หากทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเช่นนั้นจริง ได้โปรดพระองค์ท่านอย่าทรงเมตตา ให้ลงโทษสถานหนัก ตัดหัวถลกหนัง แร่เนื้อเผาทั้งเป็นได้เลย สกุลข้าอวมงคลนัก สักครู่ก็จะไปขอขมาและยอมรับความผิดต่อหน้าพระพักตร์”
นางซิงซื่อเมื่อได้ยินว่าสามีของตนมีความคิดที่จะตัดหางปล่อยวัดมู่หรงไท่ เวลานี้ นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังจะใส่เกลือบนแผลให้เขารู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีก แทบอยากจะฆ่าหลานชายของตนให้ตายเสียจริงๆ ทำให้ร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกไปหมด โชคดีที่มอมอข้างๆ จับไว้ทัน แล้วถอนหายใจอยู่หลายครั้ง เมื่อสงบลง จึงฉวยโอกาสตอนที่สามีไม่ทันสังเกต รีบหันกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ขุนนางชุดเหลืองและทหารองครักษ์ได้รับอนุญาติจากท่านอาวุโสโหวให้เข้าไปควบคุมตัวอย่างไม่อ้อมค้อม ระหว่างเดินทางไปที่ลานทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจวนโหวทางผ่านสะดวกตลอดทาง และเข้าคุมตัวมู่หรงไท่ที่กำลังทุ่มโต๊ะและเตะเก้าอี้อยู่ กลับไปยังวังหลวง
มู่หรงไท่ไม่มีแม้แต่เวลาสำหรับสวมชุดที่เหมาะสม ตลอดทางก็ถูกราษฎรแห่งเขตเยว่จิงชี้หน้าด่าทอจนเข้าประตูวัง เมื่อมาถึงท้องพระโรงเพียงเท่านั้น เขาถึงจะได้สติกลับมา