ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 135-2 เครื่องหอมสะกดจิตระลึกความทรงจำในอดีตชาติ
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าพื้นบ้านที่ทราบกันทั่ว แต่ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นเกิดหวั่นไหวขึ้น จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดของไทเฮาที่ตรัสกับนางเมื่อตอนที่อยู่ในตำหนักฉือหนิง จึงมองไปทางพระพักตร์ของไท่จื่อ จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากโก่งโค้งขึ้นกล่าว “ได้ยินมาว่าไท่จื่อเติบโตขึ้นข้างกายไทเฮานับตั้งแต่ยังห่อตัวอยู่ ฮองเฮาทรงเลี้ยงดูไท่จื่อด้วยพระองค์เองจนเมื่อพระชนมพรรษาได้สองสามขวบ ถึงจะยอมพระทัยให้แม่นมและมอมอดูแลในตำหนักของเหล่าอค์ชาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของเสด็จแม่ฮองเฮาและไท่จื่อต้องลึกซึ้งยิ่งนัก ไท่จื่อคัดสรรบทประพันธ์มากมาย แล้วเลือกบทเพลงดั้งเดิมนี้บรรเลงถวายแด่ฮองเฮา ถือว่าไท่จื่อทรงใส่พระทัยยิ่งนักแล้วเพคะ”
ไท่จื่อกลับไม่ทราบถึงเจตนาการทดสอบจากคำพูดของนาง ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ฮองเฮาเลี้ยงดูข้ามาคราหนึ่ง ข้าบรรเลงเพลงถวายในวันพระราชสมภพ ก็ถือว่าได้ทำในสิ่งที่บุตรคนหนึ่งพึงกระทำแล้วล่ะ” คำพูดนี้ประหนึ่งอาหารจานหนึ่งที่ไม่ได้ปรุงรสด้วยเกลือและเครื่องปรุง จืดชืดไร้รสชาติใด สัมผัสไม่ถึงอารมณ์ในน้ำคำ
อวิ๋นหว่านชิ่นตัดสินใจ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง น้ำเสียงเบาและนุ่มนวล และยังกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “คิดๆ ดูแล้ว ไท่จื่อกับฮองเฮาก็มีวาสนาต่อกันยิ่งนัก เมื่อไท่จื่อเพิ่งประสูติ ฮองเฮาก็ทรงอุ้มไปแล้ว ไม่ปล่อยให้ไท่จื่อต้องประสบกับความทุกข์ยากที่ไม่มีมารดาคอยปกป้องอยู่เคียงข้าง ดวงวิญญาณของหยวนเฟยที่อยู่บนสรวงสวรรค์ หากเห็นว่าเจ้านายผู้มีบารมีสูงสุดแห่งวังหลังเป็นผู้ดูแลบุตรชายของนาง ก็คงวางพระทัยลงได้” ระหว่างที่เปล่งวาจานี้ นางก็สังเกตเห็นถึงคิ้วของชายหนุ่มที่ปกติหน้าตาไร้ความรู้สึกนี้เกิดแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ละครชีวิตฉากหนึ่งได้ผ่านพ้นไป ชั่วขณะหนึ่งยังมีสีหน้าที่โหดร้ายเกิดขึ้นระหว่างคิ้วของเขา ราวกับว่าได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง
เพียงแต่ปฏิกริยาและสีหน้าท่าทางนั้นหายวับไปในพริบตาเดียว หากไม่ใช่เพราะนางคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่อาจสังเกตเห็นอากัปกิริยาที่แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันนี้ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้ว ภายในส่วนลึกของหัวใจ ไท่จื่อมีความคับแค้นใจต่อเจี่ยงฮองเฮา ไม่ได้อ่อนน้อมเหมือนกับที่แสดงออกมาให้เห็น
หากเจี่ยงฮองเฮาเลี้ยงดูไท่จื่อจนเติบใหญ่ด้วยความจริงใจ เหตุใดไท่จื่อจึงมีความคับแค้นในใจเล่า? สาเหตุการสวรรคตของหยวนเฟย มารดาผู้ให้กำเนิดของไท่จื่อ เจี่ยงฮองเฮาต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน…
ในคำพูดของเจี่ยไทเฮาที่บอกว่าสนมที่ให้กำเนิดองค์ชายก็จะถูกอิจฉาริษยาจนโดนปองร้ายตายอย่างอนาถ หากเป็นเฮ่อเหลียนกุ้ยผิน เป็นไปได้หรือไม่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาซื่อจุนก็คือหยวนเฟยเหนียงเหนียงในขณะนั้น
ฉินอ๋องเคยกล่าวตักเตือนตัวนางเองในก่อนหน้านี้ว่าไท่จื่อมิใช่ผู้ที่ต่อกรได้อย่างง่ายดายเหมือนดั่งที่ปรากฏให้เห็น คอยปรามนางไม่ให้ใกล้ชิดกับไท่จื่อลึกซึ้งเกินไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านฉินอ๋องจะหมายถึงเรื่องนี้
ก็ไม่น่าแปลกนัก คนที่เติบโตมากับศัตรูผู้สังหารมารดา เกลียดมารดาผู้เลี้ยงดูเขาเข้ากระดูก แต่ผิวเผินแล้วต้องแสดงเหมือนไม่มีอะไร ใช้ชีวิตเหมือนไม่สนใจใยดีใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังต้องแสร้งเป็นมีความยินดีอยู่แทบเท้าของคู่แค้น แสร้งเป็นคนที่กตัญญู ความคิดคำนึงในใจย่อมไม่ธรรมดาอย่าแน่นอน
การแสดงบทประพันธ์เฉินเซียงช่วยชีวิตมารดานี้ ใยไม่ใช่เจตนาที่ต้องการเสียดสีเจี่ยงฮองเฮาของไท่จื่อเล่า หากไท่จื่อคือเฉินเซียงในบทประพันธ์ หยวนเฟยก็คือซานเหนียง เอ้อร์หลางเสินที่ทำให้แม่ลูกต้องอยู่ห่างกัน ก็คือเจี่ยงฮองเฮานั่นเอง
มิน่าเล่า ไท่จื่อถึงได้รักษาระยะห่างของพระองค์เองกับเจี่ยงเหลียงตี้ หลานสาวของเจี่ยงฮองเฮา แม้นว่านางจะคอยปรนนิบัติรับใช้ซ้ายขวาไม่เคยขาด กริยามารทยาทก็นับว่าดีนัก แต่ความเฉยเมยในใจนั้นกลับปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น ไท่จื่อก็เปิดโอษฐ์ เผยรอยยิ้มของคนที่มีจิตใจกว้างขวาง กล่าวล้อเล่นว่า “อยู่ดีๆ เหตุใดจึงกล่าวฮองเฮาเล่า ข้ากับเจ้าไม่ได้พบเจอกันมานานเท่าใดแล้ว เมื่อเห็นว่าไทเฮาเรียกเจ้าเข้าวัง จึงวานน้องสิบให้ไปเรียกมาพบ เพราะเกรงว่าเมื่อเจ้าอภิเษกสมรสแล้ว คงไม่สะดวกนักที่เราจะพบเจอกันบ่อยๆ โอกาสที่สามารถพบเจ้าได้ในแต่ละคราย่อมต้องคว้าเอาไว้ และมิใช่เพื่อให้เจ้ามายกย่องว่าข้าเป็นองค์ชายที่กตัญญูเสียหน่อย”
อวิ๋นหว่านชิ่นก็น้อมทำตามพระทัยของไท่จื่อ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้เพคะ เช่นนั้นเราก็จะไม่พูดถึงผู้อื่น ไม่ให้เสียบรรยากาศของการพบปะนี้”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของไท่จื่อก็ฉายให้เห็นความสดใสเหมือนเด็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดไร้ที่ติราวกับหยกและยากที่จะสังเกตเห็นว่าของเขามีความคับแค้นอันใหญ่หลวงที่ติดอยู่ในใจ เสมือนชนชั้นสูงศักดิ์ที่ไม่สนใจใยดีต่อเรื่องราวบนโลกนี้ ขณะนั้น เขาสบัดชายแขนเสื้อที่โดนลมทะเลสาปพัดจนยับยู่ยี่ไปเล็กน้อย ยกริมฝีปากแล้วพูดว่า “ข้าขอพูดตามตรงเลยนะ เห็นเจ้าแต่งงานให้เจ้าสามเช่นนี้ ข้าเสียดายยิ่งนัก ใครจะไปคาดคิดว่าเจ้าสามจะลงมือรวดเร็วปานนี้ เจ้าคิดดูนะว่าหากเจ้าอภิเษกเข้ามาในตำหนักตงกงของข้า พบเจอข้าในทุกๆ วัน เราสองบรรเลงบทเพลงประพันธ์คู่กันในทุกวัน ชีวิตช่างสุขสมยิ่งนัก โอยยย! ยิ่งพูด ในใจของข้าก็ยิ่งร้อนรุ่ม หากว่าเริ่มต้นใหม่ได้อีกครา…”
“หากว่าเริ่มต้นใหม่ได้อีกครา ไท่จื่อก็ยังจะบอกพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของหม่อมฉันว่า ที่ฉินอ๋องตีสนิทกับหม่อมฉัน และขอหม่อมฉันแต่งงานนั้น ก็เพื่อจะแย่งชิงเอาลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของหม่อมฉันไปเป็นแขกอาคันตุกะ จากนั้นก็จะขัดขวางการแต่งงานของหม่อมฉันกับฉินอ๋อง ใช่หรือไม่เพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาเป็นประกาย จ้องมองไท่จื่อด้วยรอยยิ้มที่ไม่ลดละ
ใบหน้าอันหล่อเหลาของไท่จื่อชะงัก เกาพระเศียรแล้วตรัสว่า “พี่ชายเจ้าบอกเจ้าหมดแล้วหรือ”
สวี่มู่เจินไม่ได้บอกอะไรนาง นี่เป็นการคาดเดาของอวิ๋นหว่านชิ่นเองต่างหาก พี่ชายคนนี้ของนางไม่เคยเอ่ยปากพูดอะไร อยู่ดีๆ ก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับนางก่อนที่นางจะแต่งงาน ต้องเป็นคนจงใจปล่อยมูลเรื่องนี้ให้เขาอย่างแน่นอน คนที่อยากก่อกวนงานอภิเษกสมรสของฉินอ๋อง หากไม่ใช่ไท่จื่อ จะเป็นผู้ใดได้อีก
กระนั้น หากพูดเช่นนี้แล้ว การเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ของฉินอ๋อง ไท่จื่อก็ทราบอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน
การต่อกรอย่างลับๆ และความเข้าใจกันของทั้งคู่นั้นมากกว่าที่นางคิดไว้มาก
หรือว่า ในภพชาติที่แล้วของทั้งสองก็เริ่มมีการแย่งชิงบัลลังก์กันแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดความคิดของเขาแล้วกล่าวว่า “พี่ชายของหม่อมฉันไม่ได้พูดเสียหน่อย หม่อมฉันคาดเดาไปเองต่างหาก ไปอยู่ตงกง? หม่อมฉันมิบังอาจหรอกเพคะ เมื่อกี้หม่อมฉันยังถูกจ้องตาถลึงไม่มากพอหรือไรเพคะ อีกนิดก็จะถูกจ้องจนมีรูพรุนจนจะกลายเป็นตะแกรงอยู่แล้ว ในตำหนักของไท่จื่อมีเหลียงตี้ ด้านล่างยังมีเหลียงหยวนหนึ่งท่าน และจาวซวิ่นอีกสองท่าน หม่อมฉันขอไม่เพิ่มขาเข้าไปร่วมวงด้วยแล้วกันเพคะ”
ไท่จื่อกลอกพระเนตรไปมา ยิ้มแล้วตรัสว่า “พวกนางล้วนเป็นคนคนที่ฮองเฮา ไทเฮา และพวกสุนัขรับใช้พวกนั้นส่งมาให้ข้าทั้งนั้น เจ้าคิดว่าผู้หญิงในตงกงของข้ามีสตรีเยอะหรือ แต่ตำหนักหลังของเจ้าสามนั้นเงียบสงบจริงอยู่ แต่ช่างไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก สามารถทำให้คนเบื่อจนตายได้ ก็น่าเบื่อเหมือนกับตัวเขานั่นหล่ะ ดั่งคนที่ปีนป่ายออกมาจากสุสานก็ไม่ปาน จืดชืดเหลือหลาย เจ้าจะทนได้หรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “จะตายร้ายดีอย่างไร อีกไม่กี่วันหม่อมฉันก็จะแต่งเข้าตำหนักฉินอ๋องอยู่แล้ว ไท่จื่อป้ายสีฉินอ๋องต่อหน้าหม่อมฉันนี้จะดีหรือเพคะ”
ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันสักพัก จนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ไท่จื่อรับสั่งให้คนไปส่งอวิ๋นหว่านชิ่นออกจากประตูเมือง กลับได้ยินนางพูดว่า “ไท่จื่อเพคะ ทางไปกลับจากนี้หม่อมฉันจำได้ขึ้นใจแล้ว ที่นี่ไม่ห่างจากประตูเมืองนัก หม่อมฉันไปเองได้เพคะ”
ไท่จื่อก็เป็นคนสบายๆ โบกแขนเสื้อขึ้นตรัส “เจ้าไปเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปตามสวนดอกไม้ในวังด้วยตัวคนเดียง เมื่อเดินออกจากประตูเมืองของวังหลวงชั้นนอก นางเห็นหลังคาสีดำสีตระหง่าน มองดูกล้วเคร่งขรึม ไม่เข้ากับอาคารตำหนักอื่นๆ ที่งดงามในพระราชวังสักนิด รู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ นางก้าวเท้าเดินไป
ยามเฝ้าประตูตกใจร้อง สะกัดนางไว้ไม่ให้เข้า ยังไม่ทันได้ไล่นางให้จากไป กลับรู้สึกถึงของแข็งที่ถูกยัดใส่มือ ได้ยินเพียงเสียงเบาที่ออกมาจากปากของหญิงสาวที่ปิดหน้าปิดตาไว้ด้วยหมวกคลุมว่า “ข้าเป็นคนจากจวนกุ้ยเต๋อโหว ฮูหยินโหวเห็นว่าคุณชายรองจะออกเดินทางแล้ว ให้ข้ามาดูอาการ เพื่อความสบายใจของนาง นายท่านได้โปรดเห็นใจด้วยเถิด”