ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 136-1 ฮวงจุ้ยอันโหดร้าย ได้บันทึกลึกลับ
นางไม่ตอบ สองแขนเหมือนเถาวัลย์ยิ่งเกาะยิ่งแน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือ คนตรงหน้าจะหายไปทันที
ซย่าโหวซื่อถิงไม่เคยเห็นนางเกาะไม่ปล่อยแบบนี้มาก่อน แม้จะแอบดีใจ หวังให้นางโอบกอดตนนานเสียหน่อย แต่ก็รู้ว่ามันผิดปกติ คงมีเรื่องเกิดขึ้นตอนนางอยู่ในวัง เขาก้มมองนาง จับแขนนางออก จากนั้นจับหน้านางให้ตรง แล้วพูดด้วยเสียงจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้น”
คางแหลมของอวิ๋นหว่านชิ่นถูกช้อนขึ้นด้วยนิ้วโป้งและดันเอาไว้ นางจึงจำเป็นต้องแหงนหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ สีหน้าของเขาตึงเครียด รอฟังอย่างตั้งใจ นางไม่เคยเห็นท่าทีนี้มาก่อน แล้วนางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความอัดอั้นในใจระบายออกจนหมด เหตุใดถึงต้องนำเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำมาทำให้ตัวเองไม่มีความสุขเล่า แค่เขามีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว
“ไม่มีอะไร” นางตอบและเบี่ยงประเด็น “ท่านทำคางข้าเจ็บนะ…”
นิ้วของเขามีไตแข็งหนา ซึ่งแข็งมากด้วย ล้วนแต่เป็นผลจากการซักผ้า ล้างจาน แบกน้ำ เมื่อสมัยอยู่ที่วัดหลวงตอนวัยหนุ่ม มันทิ่มผิวอันเนียนนุ่มของนาง
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางเจ็บโอย ประกอบกับหลายวันมานี้แก้มนางเป็นสีชมพู งดงามกว่าเดิม จนใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เขาก็คลายนิ้วออก เลื่อนมือลงมา คว้าเอวดันเข้าจนแนบกาย พร้อมพูดด้วยเสียงไม่ชอบใจ “เจ้าจะทำให้ข้าขาดใจตายเช่นนั้นรึ” ความโอ่อ่าของพระราชวังที่อยู่ตรงหน้า บีบบังคับคนเหลือเกิน คนที่พำนักในนั้น หามีคนที่เขาเชื่อใจได้ไม่ สถานที่นั้นเหมือนเสือใหญ่ ที่พร้อมจะฆ่าคนให้ตายได้ทุกเมื่อ และทุกครั้งที่นางเข้าวัง เขาไม่เคยรู้สึกสบายใจเลย
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินคำว่า ‘ตาย’ ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางแหงนหน้าขึ้นมองพร้อมถามไปว่า “อาการป่วยของท่าน หายดีแล้วหรือ ข้าได้ข่าวว่าตั้งแต่ท่านกลับจากสวนชิ่งหยวน อาการของท่านก็เริ่มกำเริบ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยังเพคะ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
มือใหญ่ตรงเอวรัดนางแน่นกว่าเดิม ‘อ้า’ ยังไม่ทันร้องออกมา ตัวของนางก็แนบชิดเข้าไปอีก โชคดีที่รถม้าเริ่มวิ่งแล้ว เสียงเท้าของม้ากับเสียงลมจึงกลบเกลื่อนความวุ่นวายเมื่อครู่ไป
ถ้าเป็นนิสัยของนางเมื่อชาติก่อน นางไม่เคยคิดว่า ก่อนจะออกเรือน นางจะอยู่ใกล้สามีในอนาคตถึงเพียงนี้ นางรู้เพียงต้องรักนวลสงวนตัว ไม่ข้ามล้ำเส้นขนบธรรมเนียม เป็นหญิงสาวเรียบร้อย แม้ในใจจะอยากแค่ไหน ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ พอโตขึ้น มู่หรงไท่เคยสั่งคนใช้ส่งจดหมายมาที่เรือน อยากจะขอพบหน้าตนเสียหน่อย ในตอนนั้นนางเขินจนหน้าแดงระรื่อ นางเก็บจดหมายไว้ที่สูง ทำเหมือนว่าไม่เคยได้รับมาก่อน คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่หรงไท่ถึงชอบน้องสาวคนรอง ที่ร่าเริงและเป็นฝ่ายรุกเสียมากกว่า
ชาตินี้ นางเหมือนคนโดนของ…ใกล้ชิดเขานับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ราวกับไม่อยากฝืนใจอีกต่อไป
นางผลักเขาออก ส่วนเขาก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังโอบแน่นกว่าเดิม เหมือนเหยี่ยวแก่ที่จับได้ลูกเจี๊ยบ เนื้อหวานอยู่ตรงหน้าแล้ว จะให้ปล่อยไปได้อย่างไรกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นกำหมัดสอดไว้ตรงกลาง ตัวเขากับนางจึงห่างออกจากกัน นางเบ้ปาก และเล่าว่า “โชคดีที่องรัชทายาทเป็นคนไม่น่าสนใจ เหมือนคลานออกมาจากสุสาน…สิ่งที่ทำต่อหน้าสาธารณชนล้วนแต่เป็นการแสดง”
“เจ้าได้พบกับรัชทายาทหรือ มิน่า ถึงได้ออกมาดึกเชียว คุยกันสนุกเลยสิท่า” ชายหนุ่มทำหน้าทำตา แล้วคลายมืออก ในที่สุดอวิ๋นหว่านชิ่นก็มีโอกาสหลุดจากสองแขนได้สักที
เขาพูดด้วยเสียงเรียบก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าหน้าเสียไปแล้ว นางอดขำไม่ไหว “รัชทายาทได้ข่าวว่าหม่อมฉันถูกไทเฮาเชิญเข้าวัง ก็เลยให้องค์หญิงฉางเล่อเชิญข้าไปแสดงความยินดีก็เท่านั้นเองเพคะ หม่อมฉันเลยอยู่คุยเรื่องที่รัชทายาทจะถวายการแสดงอวยพรวันเกิดให้กับฮองเฮาในอีกไม่กี่วัน แล้วก็คุยบทละครของเขาไปครู่นึง จึงอยู่นานไปหน่อย ท่านก็ทราบไม่ใช่หรือว่ารัชทายาทหลงใหลในการละครมาก”
ซย่าโหวซื่อถิงแค่คิด ก็เห็นภาพนางกับรัชทายาทคุยกันอย่างคึกคักแล้ว งานเลี้ยงฉลองครั้งก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะส่งขันทีไปขัดจังหวะ โกหกนางว่าเสด็จแม่เรียกให้กลับ นางคงยังแต่งแต้มใบหน้าให้รัชทายาทอยู่ที่ศาลาเป็นแน่
เขาสองคนดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มีสิ่งที่ชอบเหมือนกัน แค่เรื่องนี้ ก็ทำให้ซย่าโหวซื่อถิงยิ่งรู้สึกเหมือนโดนแมวข่วนหัวใจ
บทละคร เขาเขียนไม่เป็น ดูละคร เขาก็ไม่ชอบเท่าไหร่!
แล้วในอนาคตเขาต้องฝึกสิ่งที่นางสนใจเพื่อกระชับความสัมพันธ์เช่นนั้นหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหน้าเขา เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง นางโน้มตัวเข้าหา นางแตะหลังมืออันใหญ่ด้วยนิ้วมือเล็กเรียวยาวพลางพูดว่า “ไม่เอาหน่า วันหลังหม่อมฉันจะไม่ไปพบเขาอีกแล้วเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงมองท่าทีเหมือนโอ๋เด็กของนาง ทั้งโกรธทั้งขำ คิ้วที่ขมวดก็คลายออก “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว อย่าเข้าใกล้เขา ไม่เชื่อฟังอีกแล้วใช่หรือไม่” ขมวดคิ้วอีกครั้ง นางคนนี้ เคยฟังคำของตนที่ไหนกันเล่า ไม่สำเร็จจริงหรือนี่ ไม่ได้การละ ถ้าออกเรือนแล้ว คงต้องรื้อฟื้นเรื่องสามีเป็นผู้นำภรรยาเป็นผู้ตามกันเสียหน่อย ตามใจนางต่อไปคงจะไม่ดี
อวิ๋นหว่านชิ่นฉวยโอกาสถามต่อ “ความสัมพันธ์ของรัชทายาทกับฮองเฮา ไม่ได้ดีเหมือนที่เห็นใช่ไหมเจ้าคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกได้ กลับยิ้มเจื่อนๆ แก้มสีชมพูที่ยื่นมาหาเขา เขาจับและนวดอย่างแผ่วเบา “ราชสำนักต่างรู้ว่าฮองเฮาไม่มีผู้สืบทอด จึงรับรัชทายาทมาเลี้ยงเหมือนลูกในไส้ ส่วนรัชทายาทก็ไม่เคยอกตัญญู เขาสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์แค่แม่กับลูก พวกเขาพึ่งพาซึ่งกันและกัน ถ้ารัชทายาทไร้ฮองเฮา ตำแหน่งรัชทายาทก็ไม่ใช่ของเขาและถ้าฮองเฮาไม่มีรัชทายาท ตำแหน่งฮองเฮาเป็นต้องสั่นคลอน ต่างคนต่างจึงแยกจากกันไม่ได้ เหมือนแขนที่ตัดไม่ขาด แล้วความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะไม่ดีได้อย่างไรเล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นตีมือที่กำลังซุกซน “รัชทายาทตั้งสุสานสำหรับจุดธูปเทียน เอาไว้กราบไหว้มเหสีหยวนโดยเฉพาะ อยู่ตรงวัดแถบชานเมือง รัชทายาทจะผลัดเปลี่ยนชุดลำลองไปกราบไหว้ ทั้งตอนมีชีวิต ตอนสวรรคต และทุกเทศกาล ข้าแปลกใจมาโดยตลอด มเหสีสวรรคต จะถูกฝังในสุสานหลวง มีคนกราบไหว้อยู่แล้ว แล้วเหตุใดรัชทายาทถึงต้องสร้างที่กราบไว้เพิ่มอีกแห่ง ถ้าหากรัชทายาทอยากแสดงความกตัญญู อยากเคารพบูชาแบบส่วนตัว ก็ไม่เห็นว่าต้องหลบซ่อน กลัวคนพบเห็นถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่า——รัชทายาทจะรู้ว่าฮองเฮาไม่ปลาบปลื้มการกระทำของเขา แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ ที่ท่านบอกว่าเขาสองคนเป็นเหมือนแม่ลูกกันจริง หม่อมฉันขอไม่เชื่อเพคะ ท่านไม่อยากเล่าให้ฟังก็มิเป็นไร แต่อย่าสร้างความเข้าใจผิดให้กับหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ใช่เด็กอายุสามขวบนะเพคะ!” เรื่องนี้เป็นความลับ คนนอกน้อยคนนักที่รู้ แล้วครั้งนั้น เพื่อแกล้งอวิ๋นหว่ายเฟย ตอบสนองความต้องการของลู่ชิงฝู จึงบอกทุกอย่างของรัชทายาทให้นางรู้ นางถึงรู้เรื่องที่รัชทายาทแอบออกไปกราบไหว้แม่แท้ๆ ข้างนอกจากลูกพี่ลูกน้องของเขา
ซย่าโหวซื่อถิงรู้ว่านางเป็นคนเข้าใจทุกอย่างประหนึ่งคันฉ่องใส เดาเรื่องลับๆ ในวังออก เมื่อเห็นนางทำปากจู๋ จนแทบจะแขวนกาน้ำชาได้ เขาอดไม่ไหว จึงช่วยเกลี่ยให้เรียบ รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้า พลางพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ วิชาฮวงจุ้ย มีสุสานแบบหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า ‘ขวางการเกิดใหม่’ ศพของผู้ล่วงลับ ต้องผ่านการทำพิธีโดยซินแส นำผมพาดมาด้านหน้า ปิดหน้าเอาไว้ กรอกข้าวสารในปาก หน้าคว่ำลง หลังหงายขึ้น จากนั้นฝังลงสุสาน เมื่อเห็นชื่อก็จะเข้าใจความหมายที่แฝงเอาไว้ วิญญาณถูกล็อกไว้ ไปเกิดใหม่ไม่ได้ ทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรก อดข้าวอดน้ำ ทนเหน็บทนหนาวเป็นต้น”
อวิ๋นหว่านชิ่นเบิกตากว้าง ถึงกับถอนหายใจ “พิธีนี้ช่างโหดร้ายเสียจริง ต้องเกลียดแค้นกันถึงเพียงไหน ถึงทำพิธีแบบนี้ ขังผู้ล่วงลับไม่ให้ไปไหน…” นางเหมือนนึกขึ้นได้บางอย่าง รอเพียงพูดออกมา เป็นเช่นนั้นจริง นางยิ้มแห้งพลางพูดว่า “อาจไม่ใช่ความเกลียดแค้น อาจเป็นไปได้ว่า ผู้ทำพิธีเนี่ยแหละ ที่เป็นคนทำเรื่องอำมหิตกับผู้ล่วงลับ ดังเช่น ทำผู้ล่วงลับตาย แล้วยังลักขโมยสิ่งของของเขา แล้วเชื่อว่าความโกรธแค้นยิ่งมาก วิญญาณร้ายจะกลับมาแก้แค้นคืน จึงต้องใช้พิธีนี้คุมขังผู้ล่วงลับเอาไว้ เพื่อความสบายใจ”