ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 138-2 คืนวันอภิเษก
นางประหนึ่งว่าเข้าใจความหมายนั้นดี หันไปพูดกับโหยวมอมอว่า “โหยวมอมอเหนื่อยมาทั้งวัน ผิดพลาดบ้างเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องถึงกับลงโทษอะไรหรอก จะเข้าพิธีแลกแก้วสุราไม่ใช่หรือ ถ้าเสียฤกษ์ไป นั่นสิถึงต้องลงโทษ” คนของเจี่ยงฮองเฮา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็จะลงโทษไม่ได้เป็นอันขาด
โหยวมอมอจึงเริ่มประกอบพิธีแลกแก้วสุราให้กับคู่บ่าวสาว จากนั้นโน้มตัวลง โยนแก้วลงที่พื้น หากแก้วสุราหงายหนึ่งคว่ำหนึ่ง นั่นหมายถึงว่าบุญบารมีล้นเหลือ รักใคร่กลมเกลียว เป็นนิมิตดี
โหยวมอมอมาจากพระราชวัง นางฝึกการโยนมาเป็นเวลานาน จึงรู้ดีว่าต้องโยนอย่างไร ถึงจะได้นิมิตดี ครั้งนี้ โหยวมอมอไม่กล้าประหม่าอีก แก้วตกลงพื้นก๊องแก๊ง นางยิ้มทันที “ได้นิมิตที่ดีเพคะ!”
พิธีแลกแก้วสุราเสร็จสิ้น โหยวมอมอหยิบของมงคลห้าสี โยนไปบนโครงเตียงพร้อมเอ่ยคำอวยพร พอโยนเสร็จแล้ว นางกล่าวต่อว่า “วันมงคลของท่านอ๋องกับชายาเอก นอนพักกันเร็วๆ นะเพคะ หม่อมฉันอยู่ห้องขนาบข้างห้องหอตรงนี้ หากมีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้ เรียกได้เลยนะเพคะ! พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันจะเข้ามาปลุกท่านทั้งสองเข้าวัง เพื่อพบฮ่องเต้กับฮองเฮาเพคะ” พูดจบ นางก็พาสาวใช้ออกไป
หรุ่ยจือเดินออกไปคนสุดท้าย ก่อนแต่งงาน จะตื่นนอนหรือนอนหลับ ก็เป็นนางที่คอยรับใช้ท่านอ๋อง ตั้งแต่ถอดรองเท้า สวมใส่เสื้อผ้า ถอดเสื้อผ้า จนถึงดับไฟและห่มผ้า วันนี้เป็นวันแรกที่สิ่งเหล่านั้นไม่ผ่านมือนางเลย นางรู้สึกไม่ไว้ใจสักเท่าไหร่ เห็นท่าทีของอวิ๋นหว่านชิ่น ก็คือลูกคุณหนู อายุก็ไม่มาก ไม่มีทีท่าว่าจะดูแลคนอื่นเป็น ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ไว้ใจ เดินไปหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามครั้ง มองแล้วมองเล่า กว่าจะยอมทำใจเดินจากห้องหอไป
ม่านกั้นห้องฉายเงาของแสงเทียน ในห้องนอนเหลือเพียงเสียงลมหายใจ
เจ็ดนาทีครึ่งก่อนหน้านี้ ซย่าโหวซื่อถิงอยากไล่ให้ทุกคนออกไป ตอนนี้กลับทำอะไรไม่ถูก เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เพิ่งกล้าเอ่ยปาก “ยังหิวอยู่หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหัว เตะรองเท้าของท่านอ๋องเบาๆ ทำปากจู๋ “ช่วยข้าเอามุงกฎกับผ้าคล้องคอออกหน่อยสิเจ้าคะ เพลียเหลือเกิน” ร่างแทบจะทรุดเพราะชุดแต่งงาน
ในที่สุดซย่าโหวซื่อถิงผู้ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ก็มีเรื่องให้ทำสักที เขาช่วยนางหยิบมุงกฎลงจากศีรษะ ถอดแผงลูกปัด ถอดเสื้อคล้องคอและเครื่องประดับอีกหลายชิ้นจนเสร็จ เขาเงยหน้าขึ้นถามนางว่า “รองเท้า——จะถอดด้วยหรือไม่ ใต้เตียงมีรองเท้าใส่ในห้องนอนโดยเฉพาะ” การเงยหน้าของท่านอ๋อง ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย เพราะสายตาของเขาตอนนี้ นอกจากนางแล้ว เขาก็ไม่เห็นอย่างอื่นอีก
เมื่อเสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกถอดออก ชุดตัวในสีแดงทับทิมที่สวมใส่ได้พอดีตัวนาง ก็เผยให้เห็นทรวดทรงองเอวอย่างชัดเจน คอเสื้อที่แหวกลึกเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่ขาวนวลผุดผ่อง ยาวตั้งแต่ลำคอจนถึงภูเขาที่นูนขึ้นมา
ให้ท่านอ๋องช่วยถอดรองเท้าเช่นนั้นหรือ คงจะไม่ดีกระมัง อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นมือแสดงท่าทีปฏิเสธ “แค่นี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ สบายตัวขึ้นเยอะทีเดียว ที่เหลือ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” นางพูดกับท่านอ๋องแบบนี้จนชิน และไม่แทนตนว่าหม่อมฉัน
ส่วนท่านอ๋องก็ตามใจ อยู่ในห้องคงไม่เป็นไร เขาตั้งใจดูนางถอดรองเท้าคู่นั้น เพราะชุดแต่งงานที่สวมใส่นั้นรัดแน่นมาก เวลานางก้มตัวมันจึงลำบากมาก ท่านอ๋องทนดูต่อไปไม่ไหว จึงโน้มตัวลงจับข้อเท้าของนางเอาไว้
“องค์ชายสามทำอะไรเจ้าคะ——” อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจมาก เสียงยังไม่ทันสิ้น รองเท้าปักลายหงส์สีแดงสด เส้นด้ายทำจากทองของนางได้หลุดออกไปแล้ว มือนั้นช่ำฉ่องว่องไวมาก พอถอดข้างนึงเสร็จ เขาก็จับขาอีกข้างนึงขึ้นมา และถอดมันออก จากนั้นก็วางเท้าที่สวมใส่แค่ถุงเท้าผ้าฝ้ายลง และเดินเข้าไปที่มุมหนึ่งของห้องนอน
อวิ๋นหว่านชิ่นเอามือดันเตียง ท่านอ๋องหยิบรองเท้าสองข้างมาจากม่านกั้นสีม่วง โน้มตัวลงอีกครั้ง เพื่อสวมใส่รองเท้าให้นาง
รองเท้าถูกยัดเต็มไว้ด้วยปุยฝ้ายนุ่มมาก อุ่นกว่ารองเท้าแต่งงานเสียอีก เมื่อเห็นท่านอ๋องวิ่งวุ่นไม่หยุด นางจึงเอ่ยปากชมด้วยความจริงใจ “ดีมากเลยเจ้าค่ะ เหมือนราชาจิ้งจอกเลย”
ช่างกล้าดียิ่งนัก! ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้ว พลิกมือ จากนั้นกดทับนางลงที่เตียงสีแดงสดอันหนานุ่ม นางตกใจจนล้มลงไปพร้อมท่านอ๋องอย่างไม่ทันตั้งตัว
ท่านอ๋องทับเส้นผมจุกนึงของนางโดยไม่ทันระวัง จนปิ่นปักผมหลุดออกมา เผ้าผมสยายออก กระจายอยู่เต็มเตียงดุจเมฆที่มีแสงเรืองรอง
แก้มสีชมพูสองข้างหันข้างเล็กน้อย ทำให้เห็นสันจมูกกับริมฝีปากที่ยื่นออกมา ความขาวผ่องที่เกิดจากการสาดส่องโดยแสงเทียนกับชุดแต่งงานสีแดงสด ผสมผสานกันจนเกิดเป็นความงดงามที่น่าดึงดูดและเย้ายวนใจ ชายหนุ่มผู้เห็นภาพสวยงามตรงหน้า ถึงกับตกตะลึงกันเลยทีเดียว
เจ้าคนสารเลวมู่หรงไท่ก่อกวนพัวพันนาง ยวี่เฉิงกังผู้สมควรตายทำท่าน้ำลายไหลย้อยใส่นาง ลูกชายเหล่าขุนนางในงานเลี้ยงเสียเล่อพากันแย่งชิงจีบนาง ต่อแถวเรียงรายจะพาไปส่ง…ซึ่งก็สมเหตุสมผล
อวิ๋นหว่านชิ่นตีท่านอ๋องไปสองที “ท่านจะทับข้าตายเลยหรืออย่างไร——” แต่ก็รู้ว่าสองแขนของท่านอ๋องนั้นดันเตียงไว้ ตัวนั้นก็ลอยอยู่ เขาครอบนางเอาไว้อย่างปลอดภัย
นางตำหนิเสร็จ ก็เหลือบไปเห็นหน้าอกของเขาที่ขึ้นและลง ลมหายใจจังหวะเร็วมาก สีหน้าแบบนี้ไม่เหมือนกับเวลาตื่นเต้นทั่วๆ ไปสักเท่าไหร่ นางรู้ว่าอาการป่วยของเขายังไม่หายดี แล้วช่วงที่ผ่านมาอาการเดิมกำเริบนานไปหน่อย เมื่อหลายวันก่อน ตอนพบเขาก็ยังดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ นางผลักเขาออกไปอีกหลายนิ้ว “พรุ่งนี้ต้องเข้าวังอีกนะเจ้าคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงรู้ว่านางกังวลเรื่องอาการป่วย รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ตอบไปว่า “ข้าไหว!” อาการป่วยนี้ แค่พยายามอย่าทำอะไรแบบนั้น ก่อนที่พิษยังลดลงไม่ถึงครึ่ง ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเป็นการเร่งให้บาดแผลอาการหนักขึ้น แต่——จะลองดูเสียหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง
ฟังดูแล้ว เหมือนเขาจะไม่เชื่อฟัง นางอดขำไม่ได้ “เจ้าค่ะๆ ๆ องค์ชายสามไหว แต่ข้าไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก” นางพูดไปพลางหาวไป ท่าทางน่ารักไร้เดียงสา
ซย่าโหวซื่อถิงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เสือครอบนางไว้ไม่ยอมปล่อย จึงทำได้เพียงพูดข้างหูของนางว่า “เช่นนั้นรออีกสักวันสองวันก็ได้——”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับด้วยความเขินอายว่า “ไว้ว่ากันอีกทีเจ้าค่ะ”
คนหนึ่งอยู่ข้างบน คนหนึ่งอยู่ข้างล่าง พันกันไปมา ราวกับแยกจากกันไม่ได้ บรรยากาศในห้องนอนกำลังคลุมเคลือ จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กน้อยหงิงๆ คล้ายเสียงร้องไห้ ทำลายบรรยากาศอันหวานหยดปานน้ำผึ้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียงก่อน ผลักเขาออก “เสียงอะไร”
ซย่าโหวซื่อถิงได้ยินเหมือนกัน เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ต้องยกตัวขึ้นมองดูรอบๆ เพราะในห้องค่อนข้างเงียบ ทำให้เสียงนั้นยิ่งดังชัดเจนกว่าเดิม
เขาลงจากเตียง เริ่มมองหาที่มาของเสียง เขาย่อตัวลงเปิดผ้าคลุมเตียงออก แต่ก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า อวิ๋นหว่าชิ่นมองตาม ก็พลอยตกใจไปด้วย ชุยอินหลัวไม่ได้ออกไปหรือนี่ มาแอบอยู่ใต้เตียงซะอย่างนั้น นางนั่งกอดเข่าตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้
เด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบ ร้องไห้จนหน้าเลอะคราบน้ำตาไปหมด นางถูกพี่ชายดึงตัวออกมา ปิ่นปักผมของอวิ๋นหว่านชิ่นหลุดออก เสื้อผ้าหลุดลุ่ย คล้ายว่าเพิ่งแสดงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพี่ชาย พอเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มือน้อยอ้วนนุ้ยเริ่มขยี้ตา ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ซย่าโหวซื่อถิงขมวดคิ้วจนย่นเหมือนคลื่นแม่น้ำ “อาหลัว ซนอีกแล้วนะ! สาวใช้คนสนิทของเจ้าล่ะ ทำไมมาซ่อนอยู่ใต้เตียง”