ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 141-4 ความลับเมื่อครั้นถูกพิษในวัยเด็ก
คิ้วที่เรียวงามของอวิ๋นหว่านชิ่นเลิ่กขึ้น
“บนหัวนมของแม่นมทาพิษที่รุนแรงแบบโปร่งใสไว้ชั้นหนึ่ง” หมออิงพูดต่อ “หลังจากที่เด็กทารกดูดนม ก็ย่อมเอาน้ำนมและยาพิษกลืนลงท้องไปด้วย องค์ชายล้วนหย่านมช้า เวลานั้นองค์ชายสามอายุยังน้อย และเสวยจำพวกธัญพืชน้อยมาก คนที่วางยาในอาหารก็คงหาโอกาสอันใดไม่ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสจากบนร่างกายของแม่นม ยาพิษที่ร้ายแรงนั่น คนทั่วไปเรียกว่าขุนเหล่ยซั่น ซึ่งไม่ได้อ่อนไปกว่าหงอนกระเรียนแดงเลย ซึ่งร้ายแรงอย่างมาก เนื่องจากคนที่ได้รับอันตรายคือองค์ชาย จึงต้องเกี่ยวพันกับคนในวังหลวง ฝ่าบาทให้คนไปแอบตรวจสอบอย่างลับๆ ทว่า ให้ตายอย่างไรแม่นมก็ไม่ยอมรับ พูดแต่ว่าตัวเองไม่รู้ จึงเห็นได้ชัดว่าได้ถูกซื้อตัวไปตั้งนานแล้ว จนถึงขั้นยอมเป็นตัวตายตัวแทน สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อสรุปอันใด ฝ่าบาทก็ได้แต่เพียงประหารชีวิตแม่นมเพื่อจบเรื่องไป แม้ว่าองค์ชายสามจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์ แต่พิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย กระจายออกทั่วร่าง มิได้สะสมอยู่เพียงแห่งเดียว จึงไร้หนทางที่จะเอาออกมาได้เลย ตอนนี้กลายเป็นระเบียบว่าทุกเดือนจะต้องกำเริบหนึ่งครั้ง… เหยาหยวนพั่นคิดวิธีโดยใช้งูไร้พิษได้ จึงสามารถระงับอาการปวดนั่นได้เล็กน้อย แต่อย่างไรก็มิได้เป็นวิธีการรักษาที่แก้ด้วยต้นเหตุ ยังจำเป็นต้องหายาขับพิษทั้งหมดถึงจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์ที่สุด องค์ชายสามสร้างสวนแอปพริคอตนั่น และรวบรวมวัตถุดิบทางการรักษาในใต้หล้า ก็เพื่อจุดมุ่งหมายนี้แลขอรับ”
หยุดไปครู่หนึ่ง หมออิงก็มองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง แล้วพูด “ส่วนปฏิกิริยาของอาการบาดเจ็บนั่น หากไม่ได้กำเริบขึ้นมา ก็ไม่แตกต่างจากชายปกติ ทว่า ทุกครั้งที่กำเริบกลับจะทำให้ปวดร้าวกระดูก ยากจะอดทนยิ่ง เหงื่อก็ไหลรินออกมาโดยตลอด ราวกับว่ามีมดและแมลงมหาศาลมากัดกิน ทำให้คนไม่อาจสงบได้ และเมื่อเกิดความรู้สึกตื่นเต้นก็จะยิ่งง่ายต่อการกำเริบ…ดังนั้น นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามถึงไม่เข้าใกล้หญิงสาว ส่วนเรื่องกามอารมณ์ จะทำให้สูญเสียพละกำลังกาย และสูญเสียเลือดและสารสำคัญในร่างกาย ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนเร็วยิ่งขึ้น แล้วทำให้สารพิษภายในร่างกายปั่นป่วน ส่งผลให้เสี่ยงต่อการกำเริบ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขามองตัวเองด้วยแววตาที่สับสน จึงรู้ว่ากำลังขอร้องตัวเอง ให้ไม่ให้หลับนอนกับองค์ชายสามโดยชั่วคราวก่อน ใบหน้าก็พลันร้อนผ่าวเล็กน้อย และพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้ากับองค์ชายสามยังไม่ได้ร่วมหลับนอนกัน”
หมอหลวงอิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ และรู้สึกว่าการถอนหายใจต่อหน้าพระชายาดูเหมือนว่าจะผิดกาลเทศะอย่างมาก สามีภรรยาที่ยังหนุ่มสาว ต่างก็รักใคร่กันราวกับกาวที่เหนียวแน่น หรือไม่ใช่ว่าพระชายาจะใช้ชีวิตเป็นแม่ม่ายหรอกนะ? ทว่า ถึงแม้พระชายาจะไม่ใส่ใจ เลือดลมขององค์ชายสามนั้นเร่าร้อน ทุกวันเห็นสาวงามดุจเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ผู้นี้ แต่ไม่อาจกลืนกินได้ จะไม่ร้อนใจหรือ กลัวแต่ว่าอาการป่วยไม่กำเริบ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องอดกลั้นจนตายแทน
คิดเช่นนี้แล้ว หมออิงก็รีบพูด “ขอพระชายาก็อย่าได้รีบร้อนขอรับ แม้บอกว่าความเจ็บปวดจากพิษนั้นยากจะรักษาหายได้โดยสมบูรณ์ แต่เรื่องหลับนอนนั้น บ่าวกับเหยาหยวนพั่นกำลังหาวิธีแก้ปัญหาอยู่ขอรับ โดยที่จะรีบวิจัยยาออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเร็วในการไหลเวียนของเลือด อันเป็นสัญญาณที่ทำให้อาการป่วยกำเริบ เช่นนี้ก็สามารถช่วยองค์ชายสามกับพระชายา…”
“พอแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นแดงขึ้น อย่าได้รีบร้อนอะไรกันล่ะ ตัวเองดูเหมือนกับว่าใจร้อนอย่างมากตรงไหนกัน
หมออิงก็บอกต่อว่าตอนนี้อ๋องฉินรับยาอะไรบ้าง โดยปกติทานยาเวลาใด แต่เนื่องจากในยามีสามส่วนที่เป็นพิษ จึงไม่ทานทุกวัน เพียงแต่ก่อนเริ่มกำเริบสามวัน จะต้องรับประทานยาสี่ชนิดทุกวันทั้งเช้ากลางวันเย็นและเที่ยงคืนอย่างละครั้ง และหลังจากที่หายค่อยทานยาบำรุงเลือดลมอีกหนึ่งวันก็ได้แล้ว
พูดเรื่องนี้เสร็จ ก็ใกล้จะถึงเวลาสามทุ่มแล้ว
เห็นฟ้ามืดมากแล้ว หมอหลวงอิงก็ไม่สะดวกใจที่จะอยู่ในห้องของพระชายานานกว่านี้ จึงขอตัวกลับไปก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นล้างหน้า หวีผมแล้ว ก็เปลี่ยนไปสวมชุดนอนที่สบายๆ แล้วถือโอกาสยามค่ำคืนที่สงัดเงียบ ปราศจากคนรบกวน ก็ย้อนคิดถึงคำพูดของหมออิงอีกรอบภายในสมอง และครุ่นคิดเรื่องทั้งหมด
พูดมาพูดไป พิษเหลือค้างยังคงแก้ไม่ได้ ก็ยากที่จะรักษาโรคนี้ให้หายเป็นปลิดทิ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ สารพิษนั่นแผ่กระจายอย่างไม่สม่ำเสมอภายในร่างกาย กว่าจะหาเจอแต่ละอันได้อย่างแม่นยำนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง
หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ ก็เรียกชูซย่าเปิดกล่องที่นำมาพร้อมกับตอนที่แต่งเข้ามา ซึ่งบรรจุหนังสือและดินสออยู่ภายใน แล้วหยิบตำราหลวงเกี่ยวกับศาสตร์พิษออกมา จากนั้นก็ให้แต่ละคนออกไป แล้วพลิกอ่านด้วยตัวคนเดียว พร้อมกับทำเครื่องหมายเอาไว้หลายอัน
อ่านไปอ่านไป หนังตาก็เริ่มหย่อนคล้อย วันนี้ตื่นเช้าไปเข้าวังหลวง กลับมาก็ต้องรับมือกับผู้คน ไหนเลยจะไม่เหนื่อยล้าได้ ผ่านครู่หนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นก็พาดตัวงีบหลับบนโต๊ะหนังสือไปแล้ว
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นางรู้สึกแต่เพียงร่างกายเบาขึ้นราวกลับกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ จึงเปิดตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ ถึงจะรู้ว่าอ๋องฉินได้กลับห้องมาแล้ว และกำลังจะอุ้มตัวเองที่อยู่บนเก้าอี้กลมที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือขึ้นมา แล้วเตรียมจะไปวางบนเตียง
“ท่านกลับมาแล้ว เสร็จงานแล้วหรือ” หญิงสาวพูดด้วยเสียงงัวเงียราวกับน้ำตาลสายไหม และขยี้ตาหลายครั้ง
เดิมทีอยากจะวางนางลงบนเตียงเบาๆ แต่เมื่อเห็นนางตื่นแล้ว ซย่าโหวซื่อถิงก็หยุดฝีเท้าลง งานที่ต้องเตรียมการก่อนไปรับตำแหน่งที่อำเภอฉางชวนนั้นมากมาย ไหนเลยจะทำเสร็จได้ ทว่า อดไม่ไหวที่จะกลับมาดูว่านางนอนหลับแล้วหรือยัง โครงหน้าที่สะอาดสะอ้านงามงดของเขา แม้ว่าประทับด้วยความอิดโรย แต่ก็ยังมีรอยยิ้มจางๆ “ได้ยินว่าทันทีที่กลับมา ยังไม่ทันเข้าห้อง ก็ลงโทษไล่สาวใช้ออกไปหลายคนแล้วหรือ”
“เสียดายหรือเจ้าคะ” นางโอบคอของเขาไว้
“แค่นึกไม่ถึงว่าชายาที่รักจะมีสเน่ห์ก็เท่านั้นแหละ” การโอบคอครั้งนี้ ก็ราวกับได้โอบใจของเขาไปด้วยแล้ว ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ ฝ่ามือที่แบอยู่ก็กำแน่นตามด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสายตาของเขาจ้องตัวเองมีความสั่นไหวเล็กน้อย คำพูดของหมออิงก็ล่องลอยที่ข้างหูขึ้นมาอยู่รำไร จึงรีบคว้ามือของเขา “ดึกแล้วเพคะ ข้าเหนื่อยแล้ว องค์ชายสามก็คงเหนื่อยแล้วสินะเจ้าคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงไหนเลยจะฟังคำผลัดผ่อนของนางไม่ออก เมื่อวานเห็นางเป็นเช่นนี้เพียงแต่เซื่องซึม วันนี้ได้ยินอีกครั้ง ในใจก็คิดไปไกล แววตามืดทะมึนราวกับแสงกลางคืนนอกหน้าต่าง คอก็ตกลงทันใด แล้วพูดเบาๆข้างหูของนาง “เจ้าเสียใจไหม ถ้าหากเสียใจ…”
ท่าทีที่ละอายใจเช่นนี้ เสแสร้งได้สมจริงเชียวล่ะ แล้วยังเรียกร้องความเห็นใจอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจงใจพูด “ถ้าข้าเสียใจแล้วล่ะเจ้าคะ คุณชายจะทำอย่างไร จะหาโอกาสปล่อยให้ไปจากจวนอ๋องหรือเจ้าคะ”
ชายหนุ่มเก็บแววตา เชิดคางของนาง พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ฝันไปเถิด”
ก้าวยาวมาที่หน้าห้องเตียงลายสลักดอกไม้ แล้ววางนางลงบนเตียงผ้าฝ้ายที่หนานุ่ม
กว่าจะรอให้เขาปลดเสื้อหันกลับมา คนบนเตียงก็ได้ขดตัวกลม และนอนหลับไปเสียแล้ว เขาจึงขยับผ้าห่มนางให้ดี มองสักพัก แล้วหันหลังไปทำงานราชการที่ยังไม่เสร็จในห้องหนังสือต่อ
สองวันถัดมา วังหลวงก็ส่งคนให้เรียกตัวอ๋องฉินเข้าไป
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าไปวังหลวงเพื่อรับพระราชโองการ และรับตำแหน่งเป็นรองผู้ประจำการอำเภอฉางชวนอย่างเป็นทางการ รับหน้าที่ดูแลการทหารและราชการในพื้นที่สามแคว้นและสี่เขต พร้อมพระราชทานตราและชุดว่าราชการ ถัดจากนั้นสามวันก็นำอาวุธและเกราะขององค์ชาย ไปยังเมืองเยี่ยนหยางของอำเภอฉางชวน แล้วไปพบปะกับเจ้าเมืองของอำเภอฉางชวนก่อน